Friday, January 29, 2010

http://www.ucancookthai.com/language-thai/th-recipes/th-spicy-salad/index.htm
http://www.hilunch.com/
http://www.horapa.com/
http://www.ezythaicooking.com/free_recipes_th.html
http://www.hewhew.com/recipe.php

Monday, January 25, 2010

แนะนำอาชีพ'เพาะเห็ดแครงในถุงพลาสติก '

"เห็ดแครง” จัดเป็นเห็ดที่บริโภคเป็นทั้งอาหารและยา เนื่องจากเป็นอาหารที่บำรุงร่างกายและยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคได้หลาย ชนิด เห็ดชนิดนี้สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาเจียวกับไข่ แกงกะทิ ห่อหมกและงบเห็ดแครง เป็นต้น

มีรายงานว่าที่สาธารณรัฐประชาชน จีนมีคำแนะนำให้คนไข้ที่เป็นโรคระดูขาว รับประทานเห็ดแครงที่ปรุงกับไข่เพื่อรักษาโรค ในประเทศญี่ปุ่นใช้เห็ดแครงเป็นยาเนื่องจากในเห็ดแครงมีสารที่มีคุณสมบัติใน การต่อต้านเซลล์มะเร็งและต่อต้านเชื้อไวรัส สำหรับประเทศไทยเห็ดแครงพบมากในภาคใต้ ของประเทศ ในธรรมชาติต้นยางพาราที่ตัดโค่นไว้ เมื่อท่อนไม้ตายและมีฝนตกจะพบเห็ดแครงขึ้นเป็นจำนวนมากแต่ด้วยในปัจจุบันมี การใช้ยาฆ่าตอต้นยาง ชาวบ้าน บอกว่าเห็ดแครงที่เก็บมารับประทานแล้วมีอาการคันปาก

อ.กาญจณี เตชะวรรักษ์ จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ ได้ทดลองการเพาะเห็ดแครงในถุงพลาสติกในเชิงพาณิชย์จนประสบผลสำเร็จ เป็นที่น่าพอใจ สามารถส่งเสริมให้เกษตรกรได้นำไปประกอบอาชีพได้ โดยได้สรุปในเบื้องต้นว่าเห็ดแครง จำนวน 1 ถุง มีต้นทุนในการผลิตเฉลี่ยประมาณ 4.86 บาท เมื่อนำเห็ดแครงไปเปิดถุงจะได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 110-130 กรัม ปัจจุบันราคาเห็ดแครงสดที่มีขายในท้องตลาดราคากิโล กรัมละ 100-150 บาท ทำให้เกษตรกรที่ซื้อเห็ดแครงไปเปิดดอกจะได้กำไรจากการขายเห็ดแครงก้อนละ 5-10 บาท

แต่ในการเพาะเห็ดแครง ในถุงพลาสติกมีข้อควรระวังดัง นี้ ในการทำก้อนเห็ด ผู้ผลิตจะต้องเจาะก้อนเห็ดให้มีความลึก ประมาณ 2 นิ้วเพื่อป้องกันไม่ให้เห็ดออกดอกที่จุก, ในระยะที่พักบ่มเชื้อ จำเป็นจะต้องบ่มเส้นใยในที่มืด มิฉะนั้นแสง จะกระตุ้นให้เส้น ใยสร้างดอกทั้ง ๆ ที่เส้นใยยังเจริญไม่เต็มถุงมีผลทำให้ผลผลิตต่ำไม่คุ้มค่าในแง่เศรษฐกิจ, ในระยะเปิดดอกเกษตรกรจะต้องมีการดูแลให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการปนเปื้อนจากราเขียวและราสีส้ม ราสีส้มมักจะเกิดเป็นกระจุกบริเวณปากถุงมีลักษณะเป็นผลหรือเป็นก้อนติดกันมี สีชมพูอมส้ม บาง ถุงอาจจะเกิดที่ก้นถุงทำให้เส้นใยเห็ดไม่สามารถเจริญได้ เพราะเชื้อราชนิดนี้เจริญปกคลุมเส้นใยอย่างรวดเร็ว

เทคนิคในการเปิดดอก อ.กาญจณีแนะให้ใช้วิธีกรีดข้างถุงให้เป็นมุมเฉียงจาก บนลงล่างทั้ง 4 มุมของถุง เพราะถ้ากรีด 3 แถวดอกที่ออกจะแน่นทำให้ดอกเห็ดเจริญไม่เต็มที่ ในระยะแรกของการรดน้ำ ควรรดเฉพาะที่พื้นโรงเรือน รอให้เส้นใยเจริญประสานกันก่อน ถ้ารดน้ำไปถูกก้อนเชื้อจะทำให้เห็ดออกดอกช้าและถ้าน้ำไม่สะอาดจะทำให้เชื้อ จุลินทรีย์เข้าทำลายรอยแผล

ในการให้น้ำก้อนเชื้อควรจะติดระบบ สปริงเกลอร์ ให้น้ำเช้า-เย็น ถ้าอากาศแห้งควรเพิ่มจำนวนครั้งขึ้นอีก.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=568&contentID=44094

Sunday, January 17, 2010

แนะนำอาชีพ'ขนมเปี๊ยะอบเทียน'

วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลอาชีพการทำ-การขายของกินที่รู้จักกันในวงกว้าง ราคาไม่แพง สามารถขายได้ตลอดทั้งปี และยิ่งขายดีในช่วงเทศกาล มานำเสนอ นั่นก็คือ “ขนมเปี๊ยะอบเทียน”

ธนพร ปิยะชัยศิริกุล หรือ คุณใหญ่ เป็นเจ้าของธุรกิจ “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” ที่ใช้ชื่อว่า “จันทร์เอ๋ย” เจ้าตัวเล่าว่า ดำเนินธุรกิจนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว ด้วยความที่เป็นคนชอบทานขนมเปี๊ยะมาก และอยากจะมีขนมเปี๊ยะสูตรของตนเอง จึงเริ่มศึกษาการทำธุรกิจนี้เรื่อยมา พร้อมกับการทำขายไปในตัวด้วย
เมื่อมองว่าขนมเปี๊ยะเป็นตลาดขนมที่ขายได้เรื่อย ๆ และเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ อาทิ ปีใหม่ ตรุษจีน ในช่วงปลายปี 2552 จึงเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการสร้างตราสินค้า พร้อม ๆ ไปกับความพยายามในการหาตลาดใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมากในระดับหนึ่ง

การลงทุนทำขนมเปี๊ยะขายนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำขนมอื่น ๆ สำหรับขนมเปี๊ยะนั้นหลัก ๆ เป็นการลงทุนเครื่องกวนแป้ง สำหรับกวนไส้ถั่วเหลือง ซึ่งหากสามารถกวนได้ด้วยตนเองก็ไม่ต้องลงทุนซื้อ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ราคาค่อนข้างสูง ส่วนเครื่องตีแป้งไม่ต้องใช้ เพราะขนมเปี๊ยะส่วนใหญ่จะใช้มือและใช้ไม้คลึงแป้งนวด สิ่งอื่นที่ต้องลงทุนซื้อคือเตาอบ และตู้อบควันเทียน ซึ่งตู้อบควันเทียนนั้นประยุกต์ใช้ตู้กับข้าวแทนก็ได้

วิธีทำขนมเปี๊ยะอบเทียน เริ่มที่ส่วนผสมของ แป้งชั้นใน ตามสูตรใช้แป้งสาลีเอนกประสงค์ 350 กรัม ต่อเนยขาว 160 กรัม โดยผสมแป้งและเนยขาวให้เข้ากัน แล้วแบ่งแป้งให้ได้ 40 ชิ้น หรือ 40 ก้อน

สำหรับส่วนผสมของ แป้งชั้นนอก ตามสูตรคือ แป้งสาลีเอนกประสงค์ 250 กรัม ต่อน้ำมันพืช 100 กรัม, น้ำตาลทราย 75 กรัม, น้ำเปล่า 75 กรัม, ไข่แดงสำหรับทาหน้า 2 ฟอง และไข่เค็ม 10 ฟอง วิธีทำคือละลายน้ำตาล น้ำเปล่า น้ำมันพืช ให้เข้ากัน ผสมกับแป้ง นวดให้เข้ากัน จนแป้งเนียน พักไว้ 10 นาที แบ่งแป้งเป็นก้อนให้ได้ 40 ก้อนเช่นกัน

ลำดับถัดมานำแป้งชั้นนอกหุ้มแป้งชั้นใน คลึงเป็นแผ่นยาว ม้วนเป็นแท่ง แล้วตัดแบ่งออกเป็น 2-4 ชิ้น

จากนั้นนำแป้งมาคลึงเป็นแผ่นกลม แล้วนำมาใส่ไส้ พร้อมไข่แดงของไข่เค็มซึ่งตัดออกเป็น 4 ชิ้น แป้งแต่ละชุดใส่ไข่เค็ม 1 ชิ้น ใส่ลงไปพร้อมไส้ถั่วเหลืองลงตรงกลาง แล้วหุ้มแป้งให้มิด ทาหน้าด้วยไข่แดง เพื่อทำให้ขนมน่าทาน นำเข้าเตาอบแล้วอบที่ความร้อนประมาณ 200 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 10-15 นาที จนกระทั่งสุก จากนั้นนำขนมเข้าอบเทียนประมาณ 1-2 คืน

ในส่วนของ ไส้ขนมเปี๊ยะ ซึ่งเป็นไส้ถั่วเหลืองนั้น ส่วนผสมประกอบด้วยถั่วเขียวกะเทาะเปลือกเป็นหลัก ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือ และใช้น้ำมันพืชด้วย วิธีทำเริ่มที่แช่ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก นำไปต้มจนเปื่อย และน้ำเริ่มแห้ง เติมน้ำตาลทรายพอประมาณ และเกลือนิดหน่อย กวนจนกระทั่งแห้ง จึงเติมน้ำมันพืช กวนจนแห้งอีกครั้ง ก็พร้อมใช้เป็นไส้ขนมเปี๊ยะ

“ขนมเปี๊ยะอบเทียน” นี้ มีจุดเด่นคือไม่ใส่สารกันบูด แต่สามารถเก็บไว้รับประทานให้หมดได้ภายใน 3 วัน โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น แต่หากใส่ตู้เย็นจะเก็บไว้ได้นานขึ้น แต่ก็ไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์

สำหรับราคาขายนั้นมี 3 ราคาตามปริมาณการบรรจุแพ็คเกจคือ ขนมเปี๊ยะ 8 ชิ้น ราคา 60 บาท, 14 ชิ้น ราคา 100 บาท และบรรจุ 24 ชิ้น ราคา 170 บาท

ธนพรแนะนำว่า วิธีขายขนมเปี๊ยะให้ขายได้คล่องนั้นขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ซึ่งแม้ว่าขนมเปี๊ยะ ส่วนมากจะขายดีมากในช่วงเทศกาล แต่ในแต่ละปีจะมีเทศกาลไม่กี่ครั้ง ดังนั้นในแต่ละวันจะต้องหาตลาดขายให้ได้มากที่สุด เช่นหมุนเวียนขายไม่ต่ำกว่าวันละ 3 แห่ง หรือมากกว่านั้น เพื่อจะได้กระจายขนมเปี๊ยะออกไปให้ได้มากที่สุด และการได้ส่งออกไปขายหลาย ๆ ที่ภายในวันเดียวนั้น หมายความว่าขนมเปี๊ยะจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น

นอกจากนี้ การทำตราสินค้าที่ทันสมัย และมีหมายเลขโทรศัพท์แจ้งบอกลูกค้าไว้ที่บรรจุภัณฑ์ด้วย เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวเองไปในตัว ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

ใครสนใจขนมเปี๊ยะอบเทียน “จันทร์เอ๋ย” ต้นตำรับชาววัง ต้องการติดต่อ คุณใหญ่-ธนพร ปิยะชัยศิริกุล ติดต่อได้ที่ โทร.08-5353-3863 และ 08-7697-7678 หรือ http://topdessert.igetweb.com

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=41853&categoryID=525

Wednesday, January 6, 2010

แนะนำอาชีพ"พิซซ่าสมุนไพร"

พิซซ่าสมุนไพร เอาใจคนรักสุขภาพ

"อินเตอร์พิซซ่า” หน้ามุนไพร เช่น ธัญพืช,เห็ดหอม,สาหร่าย,ผักรวม,แกงเขียวหวาน,พะแนง,ผงกะหรี่,ต้มยำ,ต้มข่า ,เบค่อน,ปูอัดไอแลนด์และซีฟู้ด

ถ้า พูดถึงพิซซ่าแล้วหลายคนคงจะมีพิซซ่าเมนูโปรดประจำตัวอยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาวายเฮี้ยน ซีฟู้ด และอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอพิซซ่าหน้าไหนวันนี้ชุมทางอาชีพมีพิซซ่าหน้าใหม่มาแนะนำให้ ท่านผู้อ่านได้ลองลิ้มชิมรสกัน ซึ่งโดยปกติแล้วพิซซ่าที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วๆ ไป จะเป็นรสชาติแบบเบสิกที่หากินได้ง่ายและรสชาติไม่แตกต่างกันมากนัก แต่รสชาติหน้าใหม่ที่จะมาแนะนำในวันนี้รับรองว่าถูกปากคนไทยที่ชื่นชอบอาหาร ที่มีรสชาติจัดจ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างแน่นอน

คุณศิริวรรณ สัจจะเวนะ เจ้าของอินเตอร์พิซซ่า พิซซ่าที่ฉีกความจำเจของพิซซ่าหน้าเดิมๆและเพิ่มคุณค่าด้วยการโรยหน้าด้วย สมุนไพร ใจคนรักสุขภาพ ซึ่งจากประสบการณ์ทางด้านอาหารที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ทั้งในประเทศอย่างภัตตาคารชั้นนำ รวมทั้งวิทยากรตามร้านอาหารชื่อดังในต่างประเทศอย่างดูไบและคูเวต รวมทั้งเป็นวิทยากรสอนการทำอาหารอีกด้วย จากความสามารถและความตั้งใจในการถ่ายทอดวิชาทางด้านการทำอาหาร จึงทำให้เกิดร้าน อินเตอร์พิซซ่าขึ้นมา

“หลังจากที่ลองผิดลองถูกอยู่นานกว่า 3 เดือน จนกระทั่งได้พิซซ่าที่รสชาติใช้ได้ก็เอาไปลองให้เพื่อนบ้านได้ลองทานกัน ก็มีคนชื่นชอบและทำให้มีคนที่ชอบสั่งเข้ามามาก จนทำให้หลายคนมาบอกให้เปิดเป็นร้านขึ้นมา เราก็เลยเปิดร้านขายอยู่ที่หมู่บ้านเคหะธานี 4 ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านขึ้นมาทำให้มีกระแสตอบรับดีเกินคาด รวมทั้งพิซซ่าของเราจะแหวกแนวไปจากพิซซ่าทั่วไป ทั้งในเรื่องของรสชาติที่เป็นไทยๆ และเน้นไปทางกลุ่มคนรักสุขภาพด้วย”

จากการปรับสูตรและปรับปรุงแก้ไขจนสามารถปรับสูตรให้เข้ากับคนไทยได้รวมถึง 12 หน้า ไม่ว่าจะเป็น ธัญพืช,เห็ดหอม,สาหร่าย,ผักรวม,แกงเขียวหวาน,พะแนง,ผงกะหรี่,ต้มยำ,ต้มข่า ,เบค่อน,ปูอัดไอแลนด์และซีฟู้ด ในราคาเริ่มต้นที่ 49 บาท เท่านั้น

“แรกๆที่ทำออกมาก็มีคนถามว่าจะทานได้เหรอ? แต่เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทานได้และรสชาติดีไม่เป็นรองใครอีกด้วย ที่สำคัญก็คือมากด้วยคุณค่าทางอาหารจากสมุนไพรชนิดต่างๆที่เป็นส่วนประกอบใน พิซซ่า ซึ่งดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน พิซซ่าสมุนไพรจึงไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อยเท่านั้น”

จากความพยายามที่จะสรรหาความแปลกใหม่มาต่อยอดกับสิ่งที่ทำอยู่ จึงทำให้คุณศิริวรรณคิดที่จะเปิดกิจการธุรกิจตรงนี้ขึ้นมาซึ่งคิดว่าตัวเอง สามารถทำได้ด้วยดี ซึ่งเธอมองครอบคลุมในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของทำเลซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และวันนี้อินเตอร์พิซซ่าก็สามารถขยายกิจการไปได้กว่า 40 สาขาทั่วประเทศ ทั้งเกาะช้าง สมุย กระบี่ ฯลฯ พร้อมกับให้ความช่วยเหลือปรึกษาสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีธุรกิจหรือเปิด กิจการอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง โดยหวังเพียงได้แบ่งปันความรู้ที่มีอยู่เท่านั้นเอง
“คือเราจะเน้นช่วยมากกว่าหวังเพียงแค่จะเอากำไรหรือเอารัดเอาเปรียบ ลองคิดดูซิว่าถ้าหากวันนี้เรามานั่งคิดว่าจะได้กำไรเท่าไหร่ เข้าเป้าที่ตั้งไว้ไหม ก็ทำให้เราเป็นทุกข์เปล่าๆ หากกลับกันเรามาคิดว่าวันนี้เราช่วยคนได้กี่คนแล้วพรุ่งนี้เราจะช่วยคนได้ อีกกี่คน แบบนี้จะทำให้เราสบายใจที่เราได้ช่วยเหลือเพื่อนๆที่เดือดร้อน คิดแค่นี้ก็เป็นสุขแล้ว เรามาคิดดูว่าลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาเราแล้วเขาสบายใจ เขามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย มีอะไรสามารถปรึกษาได้ทุกอย่าง อย่างเวลาให้สูตรหรือให้คำปรึกษาถือว่าให้เป็นวิทยาทานไป ไม่หวงความรู้”

จากความที่คุณศิริวรรณมีความคิดที่อยากจะนำความรู้ที่ได้มาแบ่งปันให้กับผู้ อื่นที่กำลังมองหาช่องทางในการหารายได้หรือนำไปประกอบอาชีพ ร้านอินเตอร์พิซซ่าสมุนไพรจึงสามารถเปิดกิจการได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 3,250-40,000 เท่านั้น

“ทุกๆขั้นตอนการทำ ลูกค้าจะสัมผัสได้เลยว่า เราตั้งใจทำขึ้นมาจริงๆ และวิชาที่ถ่ายทอดต่อๆให้ไปเราก็ถือว่าเป็นวิทยาทาน เราแค่คิดว่าเราช่วยใครได้บ้าง อย่างคุณจะทำอาชีพอะไรสักอย่าง ซึ่งความจริงแล้วมีอาชีพเยอะแยะมากมายให้เเลือก มีหลายเส้นทางให้เลือกทำ ถ้าเราตั้งใจทำอย่างจริงจัง ทุกอย่างก็ไม่ยากอย่างที่คิด อย่างถ้าจะนำเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนกับเรา เราก็ต้องช่วยเหลือเขาให้มากเหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะเราร็ว่าทุกคนที่ลงทุนย่อมหวังผลที่จะตามมาจากการลงทุนนั้นอย่างแน่ นอน”

หากท่านใดอยากปรึกษาหรืออยากทำอาหารอย่างอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ สามารถรวมกลุ่มไปขอคำแนะนำได้เช่นเดียวกัน ติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 0-2927-5979, 08-0912-5757 โดยทั้งนี้คุณศิริวรรณเห็นว่าการลงทุนแต่ละอย่างเป็นเรื่องใหญ่มาก ฉะนั้นสามารถโทรเข้าไปคุยและปรึกษาก่อนได้หากยังไม่พร้อมในการลงทุน หรือลองแวะเข้าไปทักทายที่ร้านยินดีต้อนรับ

ทีมา นิตยสาร ชุมทางอาชีพ

แนะนำอาชีพ"ส้มตำทอดกรอบ"

คมชัดลึก : ย้อนกลับดูการต่อสู้ชีวิตบนเส้นทางสายธุรกิจร้านอาหารอีสานของลูกผู้หญิงคน หนึ่งที่ชื่อ "รัญชิดา ปทุมมานุรักษ์" หรือแคท เจ้าของสูตรไก่ย่างสมุนไพร ส้มตำปูม้า และส้มตำผลไม้ สูตร "คุณแคท" ดูทำท่าจะไปได้สวยมาหลายครั้งหลายครา แต่รุ่งเรืองได้ไม่นานจะต้องมีอุปสรรคขัดขวางแทบทุกครั้ง

บางแห่งพอขายดิบขายดีครบ 1 ปี เจ้าของที่ยึดที่คืน พอได้ทำเลใหม่ก็เข้ารอบเดิมอีกเจ้าของที่ขอขึ้นค่าเช่าอีก 1 เท่าตัวอย่างไม่มีเหตุผล บางแห่งเปิดร้านใหญ่มีลูกน้องนับสิบคน มีลูกค้าแน่นร้าน เธอกลับเจอโรคร้ายนรุมเร้า ต้องนอนโรงพยาบาลและพักฟื้นหลายเดือน หลังจากตัดเนื้อก้อนร้าย ชีวิตเข้าสู่ปกติ เธอลุกขึ้นสู้อีกครั้งด้วยการเช่าที่เล็กๆ ในโรงอาหารของโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมเปิดตำรับอาหารอีสานสูตรใหม่ "ส้มตำทอดกรอบ" บรรจุแพ็กและกล่อง ปรากฏว่าขายดีมาก

"แคทรู้สึกว่าตัวเองเหมือนแมวเก้าชีวิตล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ดวงชะตาชีวิตดูเหมือนว่าจะรวยมาหลายครั้ง แต่ก็ต้องมีอุปสรรคทุกที แต่แคทก็ไม่ถอยนะ เราเกิดมาเพื่อสู้ เพื่อใช้กรรมเก่าด้วย ขนาดแคทเป็นโรคร้ายแคทก็ยังไม่ตาย คราวนี้คงหมดกรรมแล้วล่ะ จากนี้ไปแคทจะสู้ต่อ แคทมานึกว่าเราเปิดร้านเล็กๆ อย่างที่ทำอยู่ก็ดีนะ เพราะกำไรเห็นๆ ขายดี แต่เราไม่ต้องรับผิดชอบมากนัก ตอนเย็นกลับพักผ่อน" รัญชิดา กล่าวอย่างมั่นใจ

รัญชิดา ตัดสินใจอำลาชีวิตมนุษย์เงินเดือนในฐานะพนักงานบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ ด้านจิวเวลรี่ของชาวเกาหลีเกือบ 10 ปีก่อน ตั้งใจจะเปิดร้านอาหารอีสานเป็นของตัวเอง จึงเก็บทั้งเงินเดือน เงินโบนัสประจำปี และค่าคอมมิชชั่นได้ 6 แสนบาท เปิดร้านอาหารสไตล์อีสาน ชูเมนูเด็ดไก่ย่างสมุนไพรโบราณ-ส้มตำปูม้า และส้มตำผลไม้รวม และอีกสารพัดส้มตำ ร้านแรกย่านร่มเกล้า เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ และย้ายอีก 3-4 แห่งในย่านร่มเกล้าด้วยเหตุต่างๆ นานา กระทั่งเธอตัดสินใจย้ายที่เปิดร้านใหม่ในย่านดอนเมืองแต่อยู่ได้ไม่ถึง 2 ปี เจอโรคร้ายคุกคามถึงขนาดต้องผ่าตัดนอนโรงพยายบาล และพักฟื้นอีกหลายเดือน

"พูด ถึงร้านดอนเมืองแคทก็เสียดายนะ แต่ทำไงได้ แคทเข้าโรงพยาบาลให้ลูกน้องดูแล เละหมดเลย ขาดทุน เงินหมด แคทต้องขายอุปกรณ์ทั้งหมดแบบเลหลัง ได้เงินมากว่า 1 แสนบาท ในที่สุดพี่ๆช่วยเหลือหาที่ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นที่แคบๆ เน้นขายส้มตำอย่างเดียว รวมถึงส้มตำทอดกรอบบรรจุกล่อง ตามที่ลูกค้าสั่ง"

เธอบอกว่า ร้านใหม่ที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ นั้นเป็นร้านในโรงอาหารของโรงพยาบาล เปิดขายเฉพาะส้มตำอย่างเดียว เป็นสารพัดตำทั้งส้มตำปูม้า หอยดอง ปลาร้า ส้มตำปู ส้มตำไทย ขายตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น.หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ในแต่ละวันโดยเฉพาะตอนเที่ยงจะมีลูกค้ายืนรอคิวซื้อส้มตำแน่นไปหมด ขายได้ละ 3,000 บาท บางวันขายดีถึง 5,000 บาท นอกจากนี้จะมีเมนูพิเศษคือส้มตำทอดกรอบทั้งมะละกอ ดอกขจร และล่าสุดเตรียมทำส้มตำกรอบจากบรอกโคลี เน้นเฉพาะบรรจุแพ็กตามออเดอร์เท่านั้น

"ตอนแรกแคททำคนเดียว ขายคนเดียว ตอนหลังลูกค้าติดแล้ว มีลูกค้ามากขึ้น แคทก็เหนื่อย ต้องจ้างลูกน้องมาช่วย 2 คน แคทคิดจะทำร้านเล็กอย่างนี้ไปก่อน เพราะเหนื่อยน้อยกว่า มีเวลาพักผ่อนเยอะด้วย" เธอ กล่าว

นับเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ต่อสู้ชีวิตอีกคนหนึ่ง แม้ชีวิตจะเจออุปสรรคนานัปการ แต่ รัญชิดา ไม่เคยถอย หากใครสนใจเทคนิคการตำส้มตำปูม้า ส้มตำผลไม้รวม ส้มตำทอดกรอบ และ ไก่ย่างสมุนไพรสูตรโบราณ เธอยินดีที่จะถ่ายทอดวิชาให้ทุกอย่างในโครงการ "คม ชัด ลึก ฝึกอาชีพ" ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2552 สอบถามได้ที่โทร.0-2338-3356-7

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20091113/36961/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%97.html

แนะนำอาชึพ'กล้วยเมืองลุง'

“กล้วย” จึงจัดเป็นผลไม้ลำดับต้น ๆ ที่คนไทยรู้จักและนิยมรับประทานในทุกพื้นที่ รวมถึงมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการแปรรูปกล้วยเป็นอาหารทานเล่นประเภท “สแน็ค” ของกลุ่มแม่บ้านลำสินธุ์ มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

ประทิน นาคมิตร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์ จ.พัทลุง เล่าว่า ชาวสวนในชุมชนนี้จะนิยมปลูกกล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ควบคู่กับการทำสวนยางพารา เพราะให้ผลผลิตดีและขายได้ราคา แต่เมื่อปี 2530 ราคากล้วยตกต่ำขายไม่ออก จึงมีการแปรรูปกล้วยไข่เป็นกล้วยกรอบแก้วรสต่าง ๆ และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในท้องถิ่น ต่อมามีการขอคำแนะจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่อปรับให้การทำงานของกลุ่มเป็นระบบ จนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จนสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็น “กล้วยเมืองลุง” ในปัจจุบัน

“ทั้งอุตสาหกรรม พัฒนาชุมชน เกษตรอำเภอ อบต. เข้ามาสนับสนุนความรู้ทางวิชาการ เงินทุนจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ ทำให้สมาชิกมีกำลังใจในการทำงาน ขณะเดียวกันเราก็ขยันหาความรู้ เข้าอบรมสัมมนา ศึกษาดูงาน โรดโชว์กับหน่วยงานราชการ นำประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงสินค้าจนได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โอทอป 4 ดาว และได้วางจำหน่ายในห้างเทสโก้ โลตัส สาขาพัทลุง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้เรามีทุนในการพัฒนาสินค้าให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นอีก”

จุดเด่นของ “กล้วยเมืองลุง” คือมีหลายรสชาติให้เลือก อาทิ รสมาตรฐาน รสหวาน รสเค็ม รสบาร์บีคิว รสปาปริก้า รสสาหร่าย แต่ละรสชาติก็จะแตกต่างกันไป โดยที่การผลิตจะเน้นความสะอาด ปลอดภัย ไม่ใส่สารกันบูด และเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การเลือกกล้วยไข่ ต้องเป็นกล้วยก่อนแก่เท่านั้น รสชาติจะหวานกรอบ

อุปกรณ์ในการทำก็มี... กระทะ, เตาแก๊ส, ไม้พาย, กระด้ง, กะละมังใหญ่, เครื่องหั่นกล้วย, ตะแกรง, ทัพพี, เครื่องปั่นไฟฟ้า, กระดาษซับมัน, มีด, เขียง และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ด ส่วนวัตถุดิบก็มี... กล้วยไข่ก่อนแก่, น้ำมะนาว, น้ำมันปาล์ม, น้ำตาลไอซิ่ง (มีส่วนผสมของแป้งสาลี 3 % ช่วยลดความชื้น), พริกไทยป่น, เกลือ

ขั้นตอนการทำ “กล้วยไข่เมืองลุง” (หากต้องการรสชาติแบบไหนก็เพิ่มส่วนผสมนั้น ๆ ลงไป) เริ่มจากนำกล้วยไข่สดก่อนแก่มาล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้ง จากนั้นนำไปปอกเปลือกแช่ในน้ำมะนาวอ่อน ๆ เพื่อไม่ให้ผิวกล้วยดำ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกที ก่อนนำไปสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ ลงกระทะน้ำมันที่ความร้อน 160 องศา

ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที สังเกตว่ากล้วยมีสีเหลืองทองจึงตักขึ้นใส่ตะแกรงวางให้สะเด็ดน้ำมัน พักไว้จนเย็น ก่อนนำมาปรุงแต่งรสชาติตามต้องการ จากนั้นนำเข้าตู้อบอีก 3-10 นาที ซับน้ำมันและไล่ความชื้นเพื่อป้องการเชื้อรา ก่อนแพ็กลงบรรจุภัณฑ์เตรียมจำหน่าย ซึ่งลูกค้าสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานถึง 3 เดือน

สำหรับการปรุงเป็นรสต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น รสสาหร่าย ก็ให้นำสาหร่ายอบแห้งที่เตรียมไว้มาฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอประมาณ จากนั้นก็นำไปคลุกเคล้ากับกล้วยตอนที่ทอดเสร็จแล้ว ปรุงรสเพิ่มเติมด้วย พริกไทยป่น เกลือป่น และน้ำตาลไอซิ่ง ทำการผสมคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันทั่ว ก็จะได้กล้วยไข่เมืองลุง รสสาหร่าย

ผลิตภัณฑ์ “กล้วยเมืองลุง” หรือ Phatthalung Banana Chips เจ้านี้มีทั้งแบบม้วน แบบแว่น แบบสไลด์ และแบบแท่ง บรรจุในถุงใสน้ำหนัก 150 กรัม และซองสีเขียวน้ำหนัก 140 กรัม ราคาส่ง 16 บาท ส่วนราคาขายปลีกขึ้นอยู่กับพื้นที่ เริ่มต้นที่ 20 บาท 25 บาท และ 35 บาท

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์มีสมาชิกกว่า 160 ชีวิต แบ่งหน้าที่กันตามความถนัด ผลิตสินค้าหลากหลายชนิด เฉพาะ “กล้วยเมืองลุง” สร้างรายได้เสริมให้กับสมาชิกเดือนละ 4-5 พันบาทต่อคน อีกทั้งชาวสวนกล้วยไข่ก็พลอยมีรายได้ดีจากการขายกล้วยดิบอีกด้วย

หากสนใจต้องการศึกษาวิธีการแปรรูปกล้วยไข่ติดต่อได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์ 104 หมู่ที่ 3 ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง โทร. 0-7460-5659, 08-6292-1923 แล้วจะได้รู้ว่า “กล้วย” ก็มิใช่ผลไม้บ้าน ๆ เชย ๆ ใครอาจจะมองว่าก็แค่ “กล้วย” แต่เมื่อบวกไอเดียดี ๆ เข้าไป ก็อาจทำให้ “รวย” ได้ !!

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=38330&categoryID=525