Saturday, December 18, 2010

แนะนำอาชีพ'สระว่ายน้ำสำหรับสุนัข'

ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงยังเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจเสมอ เพราะปัจจุบันกลุ่มลูกค้าคนรักสัตว์ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนทำให้ตลาดของธุรกิจประเภทนี้กว้างขึ้น และนอกจากการผลิตและจำหน่ายสินค้า สำหรับธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ก็ถือว่าเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ อย่างเช่น “สระว่ายน้ำสำหรับสุนัข”...

@@@@@

“โชติมา โชติบัณฑิต” เจ้าของธุรกิจให้บริการสระว่ายน้ำสุนัข ในชื่อ I Tube Pool เล่าว่า เดิมทำงานเป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่ง ต่อมาเกิดความสนใจในธุรกิจการให้บริการสระว่ายน้ำสุนัข เพราะได้แรงบันดาลใจจากความลำบากที่ต้องเดินทางไกล เพื่อพาสุนัขไปสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พักในบริเวณสุขุมวิทมาก ทำให้เสียเวลาการเดินทาง จึงคิดว่าในพื้นที่แถวสุขุมวิทยังไม่มีบริการด้านนี้ ทั้งที่มีกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขและมีความต้องการ บริการนี้อยู่พอสมควร จึงคิดว่าหากใช้พื้นที่บ้านดัดแปลงให้เป็นสระว่ายน้ำ เน้นกลุ่มลูกค้าย่านนี้ที่ส่วนใหญ่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมซึ่งไม่ค่อยมี พื้นที่ให้สุนัขออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพสุนัขมีปัญหา จึงมองว่าธุรกิจนี้น่าจะแทรกตัวในพื้นที่ดังกล่าวได้

เจ้าของไอเดียบอกว่า นอกจากเป็นสถานที่ออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นสถานที่สำหรับทำกายภาพบำบัดด้วย เนื่องจากสุนัขเมื่อมีอายุมากขึ้นมักมีปัญหาบาดเจ็บที่ตะโพก โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ใหญ่และสุนัขที่มีรูปร่างอ้วน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้มีมากขึ้น ทำให้ความต้องการในบริการนี้มีเพิ่มขึ้น

“ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากความลำบาก แต่ที่เลือกทำก็เพราะเรามีความสุขด้วย ในฐานะคนรักสุนัขคนหนึ่ง” เจ้าของธุรกิจกล่าว ก่อนบอกอีกว่า จุดขายของธุรกิจบริการสระว่ายน้ำสุนัขคือเรื่องของ “ความสะดวก”

นอกจากนี้ก็ยังต้องคำนึงถึง “ความสะอาด” และ “ความปลอดภัย” ของสุนัขด้วย สำหรับสระว่ายน้ำที่นี่จะใช้ “ระบบเกลือ” ซึ่งต้องลงทุนสูงกว่าการใช้ “สารคลอรีน” แต่มองในระยะยาวระบบเกลือจะดีกว่า โดยสระที่ใช้เป็นขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร และลึก 1.20 เมตร

“หัวใจสำคัญอยู่ที่ความสะอาด สระว่ายน้ำจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลเสมอ เพราะบางฤดูสุนัขจะขนร่วงมาก ก็จำเป็นจะต้องคอยช้อนขนสุนัขออก อีกทั้งเรื่องปริมาณสุนัขในสระก็ต้องควบคุมให้พอดี ไม่ให้มากเกินไป”

ในเรื่องการสร้างความมั่นใจ การสร้างความเชื่อมั่นก็เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจนี้ โชติมาบอกว่า สุนัขทุกตัวเจ้าของจะกังวลเรื่องของความปลอดภัย โดยทางร้านจะมีชูชีพให้ใช้ฟรี นอกจากนี้ยังมีพี่เลี้ยงคอยดูแลความปลอดภัยของสุนัขเวลาที่อยู่ในสระ ส่วนโรคติดต่อจะมีกฎระเบียบในการใช้บริการคือ เจ้าของสุนัขจะต้องมีใบตรวจวัคซีนมาให้ทางร้านดูก่อนที่จะลงสระ โดยทางร้านจะอาบน้ำก่อนและหลังจากลงสระ พร้อมทั้งบริการเป่าแห้งให้เรียบร้อย เพียงแต่เจ้าของต้องเตรียมแชมพูมาเองเพื่อป้องกันปัญหาจากการแพ้แชมพู

ทุนเบื้องต้น ตัดเรื่องค่าเช่าสถานที่ออกก็จะมีแต่ค่าสระและค่าตกแต่งสถานที่ อยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาท ทุนหมุนเวียน ส่วนใหญ่เป็นค่าไฟ-ค่าน้ำ ค่าจ้างพนักงาน อยู่ที่ 3 หมื่นบาทต่อเดือน รายได้มาจากค่าบริการและจากการขายอาหารและเครื่องดื่ม โดยรายได้จากค่าบริการสำหรับ สุนัขพันธุ์เล็กอย่าง ชิสุ, ไส้กรอก อยู่ที่ 380 บาทต่อชั่วโมง ส่วนพันธุ์ใหญ่อย่าง ลาบราดอร์, โกลเด้น อยู่ที่ 480 บาทต่อชั่วโมง

เจ้าของธุรกิจนี้แนะนำว่า นอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องของสุนัขแล้ว การจัดสถานที่ให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรมีสถานที่ให้เจ้าของสุนัขนั่งพักรอ มีบริการอินเทอร์เน็ต และของว่างหรืออาหารไว้บริการให้พร้อม เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความประทับใจและอำนวยความสะดวกแล้ว ก็ยังเป็นรายได้เสริมที่เพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากรายได้จากค่าบริการในส่วนของสุนัขเพียงอย่างเดียว

“การออกแบบสถานที่ ต้องเน้นสะอาด สะดวกสบาย และต้องดูดี เช่นเดียวกับสระว่ายน้ำของคน และควรมีพื้นที่รอบ ๆ ให้สุนัขได้เดินเล่น หรือให้สุนัขได้กระโดดน้ำได้ด้วย” เป็นไอเดียที่เจ้าของธุรกิจแนะนำมา

ทั้งนี้ เจ้าของธุรกิจนี้ยังบอกด้วยว่า การทำอาชีพสระว่ายน้ำสุนัข กำไรอาจจะไม่ได้มากมายเหมือนการค้าขายทั่วไป เนื่องจากราคาให้บริการ ถ้าสูงมากลูกค้าก็จะไม่มา ถ้าถูกเกิน ร้านก็จะไม่ไหว แต่เหมือนเป็นการทำแล้วสบายใจมากกว่า จากการที่ได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของเจ้าของสุนัข เมื่อได้เห็นสุนัขมีความสุข

@@@@@@

ธุรกิจ “สระว่ายน้ำสุนัข” รายนี้ อยู่ที่เลขที่ 25 ซอยพร้อมมิตร สุขุมวิท 39 กรุงเทพฯ โทร. 0-2258-4736 เว็บไซต์ www.itubepool. com เปิดให้บริการช่วง 09.00-17.00 น. ปิดวันจันทร์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงที่น่าพิจารณา โดยเฉพาะสำหรับคนที่รักสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=110483

Monday, December 13, 2010

แนะนำอาชีพ"วุ้นสารพัดหน้า"

หนึ่งในเมนูขนมที่หารับประทานง่าย รสชาติอร่อย และเป็นที่นิยมตลอด คือ “วุ้น” ขนมหวานเนื้อนิ่ม ซึ่งปัจจุบันคนทำขายมีการกระตุ้นยอดขายด้วยการพลิกแพลงรสชาติหลากหลาย มีรูปแบบและสีสันมากมาย เช่น วุ้นสังขยา, วุ้นผลไม้ตามฤดูกาล, วุ้นเผือก, วุ้นทองหยิบ, วุ้นทองหยอด, วุ้นเม็ดขนุน, วุ้นไข่, วุ้นตาล, วุ้นอัญชัน, วุ้นกล้วยไข่เชื่อม, วุ้นลอดช่อง, วุ้นสตรอเบอรี่, วุ้นฝอยทอง ฯลฯ โดยขนมประเภทวุ้นนี้ก็ทำได้ไม่ยาก หาวัสดุอุปกรณ์ในการทำก็ง่าย ราคาไม่แพง และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนออีกหนึ่งรูปแบบ...

#####

รัตน์ ปั้นเพชร เป็นเจ้าของสูตรวุ้นร้อย (100) หน้า เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า เธอนั้นเป็นแม่บ้าน แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบคิดชอบทำ พอเห็นอะไรแล้วก็จะชอบนำมาดัดแปลง โดยเฉพาะขนมวุ้น เป็นขนมที่สามารถดัดแปลงรูปแบบ มีลูกเล่นให้เล่นได้มากมาย จากที่ทำรับประทานกันในครอบครัว ขยายสู่ญาติพี่น้อง รวมถึงเพื่อน ๆ ทุกคนต่างบอกว่า “ทำขายสิ” และด้วยความที่แฟนของเธอเป็นมือกลอง รายได้ไม่แน่นอน เธอจึงทำวุ้นออกขาย เพื่อหารายได้เสริมช่วยเหลือครอบครัวอีกทาง

“การทำอาหารหวานประเภทวุ้นไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ยาก และสิ่งที่ใหม่คือ ทำอย่างไรจะให้วุ้นออกมามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น มีความแปลก ฉีกตลาดออกไป และสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ จากประสบการณ์ที่ขายมา วุ้นทั้งชิ้นใหญ่-ชิ้นเล็ก นับวันมีแต่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาจจะเป็นไปได้ว่าคนเริ่มเบื่อขนมประจำเทศกาลอย่างเค้กไปแล้ว จึงหันมาหาวุ้นมากขึ้น สูตรที่ทำขายนั้นปรับปรุงเอง จะเพิ่มความเค็ม ลดความหวานลง ถ้ามันแข็งไปจะทำให้วุ้นกระด้าง ก็ปรับให้อ่อนลง ทดลองจนลงตัวดีแล้วก็จดสูตรไว้เลย เสียงตอบรับก็ค่อนข้างดี”

สำหรับเทศกาลปีใหม่ คุณรัตน์บอกว่า รับจัดวุ้นเป็นของฝากของขวัญ ตกแต่งสวยงาม หลากหลายรูปแบบและสีสัน อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะดุดตา แสดงให้เห็นถึงความเป็นวาระพิเศษ ด้วยโบ หรือริบบิ้นสีสันสดใส

โฉมหน้าขนมวุ้นร้อย (100) หน้า ก็มี... วุ้นครีมวานิลลา, วุ้นซ่าหริ่ม, วุ้นใบเตย, วุ้นเม็ดบัว, วุ้นฟักทอง, วุ้นเผือก, วุ้นเฮลบลูบอย, วุ้นไข่, วุ้นมะพร้าวอ่อน, วุ้นขนุน, วุ้นน้ำมะพร้าว, วุ้นแยมบลูเบอรี่, วุ้นสตรอเบอรี่สด, วุ้นผลไม้ตามฤดูกาล ทั้งลำไย ลิ้นจี่ สับปะรด น้อยหน่า เงาะ, วุ้นกะทิ, วุ้นมันเชื่อม, วุ้นกล้วยไข่เชื่อม, วุ้นสอดไส้นานาชนิด, วุ้นช็อกโกแลต, วุ้นแยมส้ม, วุ้นแยมสตรอเบอรี่, วุ้นทองหยิบ, วุ้นฝอยทอง, วุ้นทองหยอด, วุ้นชั้น, วุ้นเม็ดขนุน, วุ้นกาแฟ, วุ้นชาเขียว, วุ้นลูกเกด, วุ้นมะม่วงสุก, วุ้นกีวี, วุ้นเม็ดแมงลัก, วุ้นอัญชัน, วุ้นขนมตาล ฯลฯ

นอกจากนี้ที่ร้านของคุณรัตน์ ก็ยังมีขนมมะพร้าวแก้ว และน้ำมะพร้าวน้ำหอมสด ๆ จากสวนสามพราน ไว้บริการอีกด้วย โดยขนมต่าง ๆ ที่ทำขายไม่มีการใส่สารกันบูดเด็ดขาด!!

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำวุ้น ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วในครัวเรือน เช่น เตาแก๊ส, หม้อสเตนเลส, ทัพพี, ช้อนกาแฟ, ผ้าขาวบาง, กระติกเก็บความร้อน, ไม้จิ้มฟัน เป็นต้น ส่วนที่ต้องหาซื้อเพิ่มก็มีแบบพิมพ์รูปต่าง ๆ, ถ้วยตวงแห้ง-ตวงน้ำ, ช้อนตวง, ที่ปาดส่วนผสม, ไม้พาย, ขวดที่มีฝาบีบได้, ถ้วยหรือกระบอกแบ่งวุ้นเพื่อหยอดพิมพ์

ส่วนผสมหลักในการทำวุ้น ก็มี... ผงวุ้นอย่างดี (1 ซอง 50 กรัม), น้ำมะพร้าวอ่อน, น้ำตาลทราย, หัวกะทิ, เกลือ และหน้าต่าง ๆ เช่น ซ่าหริ่ม, ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, เม็ดขนุน, เม็ดบัวต้ม, เผือกต้ม เป็นต้น

ยกตัวอย่างขั้นตอนการทำ “วุ้นกะทิซ่าหริ่ม” ผสมผงวุ้นกับน้ำมะพร้าวอ่อนลงในหม้อ คนส่วนผสมให้เข้ากันดี ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ จนเดือด ส่วนผสมผงวุ้นละลายดีแล้ว จึงใส่น้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลทรายละลาย กรองด้วยผ้าขาวบางเคี่ยวต่อไปโดยใช้ไฟอ่อน นำหัวกะทิสด เกลือนิดหน่อย ใส่ตามลงไป คนให้ส่วนผสมวุ้นเข้ากันดี จึงยกลง ตักซ่าหริ่มใส่พิมพ์ เทส่วนผสมวุ้นใส่จนเต็มพิมพ์ ตั้งพักไว้ให้วุ้นแข็งตัว นำวุ้นที่ทำเสร็จแล้วเข้าไปพักไว้ในตู้เย็น เมื่อต้องการจะรับประทานหรือขาย ก็แคะวุ้นออกจากพิมพ์ จัดใส่ภาชนะ

การทำ “วุ้นทองหยิบ-ทองหยอด-ฝอยทอง-เม็ดขนุน-เม็ดบัวต้ม-เผือกต้ม” ขั้นตอนการทำเหมือนกับวุ้นกะทิซ่าหริ่ม จะต่างกันก็ตรงที่เปลี่ยนจากซ่าหริ่มเป็นเครื่องอื่น ๆ เท่านั้น

สำหรับราคาขายวุ้น คือ 12 ชิ้น 50 บาท (เลือกหน้าได้ตามชอบ) ทุนวัตถุดิบตกประมาณ 60% ซึ่งคุณรัตน์จะขายตามตลาดนัดโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลผิวหนัง, โรงพยาบาลนพรัตน์, โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์, โรงพยาบาลจุฬาฯ ถ้าเป็นวันอังคารจะขายที่สนามเสือป่า ใกล้โรงพยาบาลกลาง

#####

ใครสนใจอยากมีอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก ด้วยการขาย “วุ้น” ก็ลองฝึกทำกันดู แต่หากคิดอยากจะทำขาย เริ่มต้นควรหาตลาดก่อนว่าจะขายยังไงตรงไหน ดูกลุ่มลูกค้าว่าชอบวุ้นแนวไหน ส่วนใครต้องการติดต่อกับคุณรัตน์ ต้องการสั่งวุ้น ซึ่งต้องสั่งล่วงหน้า 1-2 วัน ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-9888-9844 และ 08-9213-1709.


ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=107992

แนะนำอาชีพ"ซาลาเปาลูกท้อ"

จุดเด่นของ “ซาลาเปา” คือเป็นได้ทั้งของว่าง ขนม ของกินเล่น จนมีคนนิยมชมชอบมากมาย จึงไม่แปลกที่อาชีพทำซาลาเปาขายเป็นอาชีพที่ไม่เคยตกยุคตกสมัย ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปาที่มีไส้ หรือไม่มีไส้ เช่นเดียวกับขนมเปี๊ยะ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์หน้าตาและไส้ จนแปลกใหม่ ร่วมยุคร่วมสมัยและน่ารับประทานมากขึ้น แต่ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำมาเสนอวันนี้คือ “ซาลาเปาลูกท้อ” ซึ่งรูปแบบธรรมดา ๆ แต่ขายได้เรื่อย ๆ ขายได้ตลอด และจะขายดีมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ชนิดที่ทำขายกันแทบไม่ทันเลย...

พรทิพา วิรุฬห์ชาตะพันธุ์ เจ้าของร้านเฮงกี่ ซาลาเปา ตลาด น้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม ทำซาลาเปา และขนมเปี๊ยะขาย เจ้าตัวเล่าว่า เปิดร้านขายขนมเปี๊ยะและซาลาเปาเกือบ 80 ปีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันเจ้าของร้านเป็นรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 แล้ว แต่ครอบครัวก็ยังยึดอาชีพนี้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

“ซาลาเปาลูกท้อ” เป็นซาลาเปาที่ทำกันมาแต่ดั้งเดิม และก็ยังทำขายในปัจจุบัน ขายได้เรื่อย ๆ และขายดิบขายดีในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมายในการทำ เพียงแต่ต้องมีคุณภาพ และตั้งราคาให้สมน้ำสมเนื้อ อร่อยคุ้มราคา ซึ่งซาลาเปานี่ใคร ๆ ก็ทำขายได้ เพียงแต่เสน่ห์ของทางร้านคือ ขายมานาน มีคนรู้จักเยอะแยะมากมาย ซึ่งก็ต้องรักษาชื่อเสียงเอาไว้

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ คือ อุปกรณ์เบเกอรี่-ซาลาเปา อาทิ เตาแก๊ส หม้อ กะละมัง เครื่องตีแป้ง (ถ้ามี) โต๊ะนวดแป้ง ไม้นวดแป้ง ฯลฯ

สูตรซาลาเปาลูกท้อ ที่ใช้แป้ง 1 กก. ส่วนผสมต่าง ๆ ประกอบด้วย แป้งสาลีสำหรับทำซาลาเปา 1 กก. และยีสต์ 1 กรัม, น้ำตาล 150 กรัม, ไข่ไก่ 1 ฟอง, เนยเล็กน้อย และน้ำเปล่า 500 กรัม

วิธีทำ ร่อนแป้งและยีสต์ให้เข้ากันบน โต๊ะนวดแป้ง จากนั้นเกลี่ยแป้งเป็นวงกลม โดยเว้นพื้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ เทน้ำ น้ำตาล ตอกไข่ และเนย ไว้ตรงกลาง ให้ละลายน้ำตาล น้ำ เนย และไข่ไก่ ให้เข้ากันเอาไว้ โดยใช้มือ ซึ่งวิธีนี้เป็นการทำแป้งบนพื้นไม้ จากนั้นค่อยนำแป้งลงไปนวดผสม ค่อย ๆ นวดไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะเข้ากันได้ดี แล้วให้พักแป้งไว้ 1-1.5 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งฟูขึ้นมา ซึ่งแป้งที่นวดแล้วจะมีสีออกเหลืองนวล ๆ

จากนั้นนำแป้งไปรีดให้ขาวเนียน ซึ่งจะใช้เครื่องรีดแป้ง หรือใช้ไม้นวดแป้งก็ได้ รีดไปมาจนกระทั่งแป้งขาวนวล จึงเข้าสู่ขั้นตอนปั้นซาลาเปา ซึ่งต้องทำไส้ไว้ก่อน จะมี 3 ไส้คือ ไส้ฟักเชื่อม ไส้ถั่วเหลือง และไส้ถั่วดำ

วิธีทำไส้นั้น ไส้ฟักเชื่อมใช้ฟักเชื่อมสำเร็จ 1 กก. โม่ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือจะหั่นก็ได้ จากนั้นนำไปเคี่ยวผสมกับน้ำตาลทรายและแป้งโก๋อย่างละ 500 กรัม และงาขาวคั่วอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ละ 20 กรัม

ไส้ถั่วเหลือง ใช้ถั่วเขียวซีก 1 กก. แช่น้ำไว้ประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด แล้วกวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. และน้ำมันพืชพอประมาณ กวนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ละ 20 กรัม

ไส้ถั่วดำ ใช้ถั่วดำ 1 กก. นำไปต้มให้สุก จากนั้นกวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. และน้ำมันพืชเล็กน้อย ปั้นเป็นก้อน ๆ 20 กรัม พักไว้

เตรียมไส้พร้อม เตรียมแป้งพร้อม ก็นำแป้งที่รีดเสร็จแล้วมาเริ่มขั้นตอนการปั้นซาลาเปา ใช้แป้งสาลีแห้งโรยบนแป้ง เพื่อไม่ให้แป้งติดมือและติดโต๊ะ จากนั้นตัดแป้งออกเป็นเส้น ๆ แล้วหั่นเป็นก้อน ๆ ละ 25 กรัม

แบะก้อนแป้งออก ใส่ไส้ที่ต้องการลงตรงกลาง แล้วหุ้มแป้งปิด โดยทำให้แป้งด้านบนเป็นยอดแหลม ๆ ซึ่งจะคล้ายกับ “ท้อ” หากเป็นซาลาเปาเฉย ๆ ไม่ต้องทำยอดแหลม เสร็จแล้วนำไปนึ่งให้สุก ใช้ไฟแรง นึ่งนาน 15 นาที ซึ่งแป้งซาลาเปา 1 กก. จะทำซาลาเปาได้กว่า 30 ลูก โดยซาลาเปา 100 ลูก จะใช้แป้งประมาณ 2.5 กก.

ซาลาเปารูปแบบนี้ ขายได้ในราคาลูกละ 4-5 บาท โดยต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบต่อลูกอยู่ที่ประมาณ 2 บาทกว่า ๆ ซึ่งจำเป็นต้องทำขายให้ได้ในปริมาณมาก ๆ จึงจะได้กำไรคุ้มกับการลงทุนลงแรง

“ซาลาเปาลูกท้อ” ดังกล่าวนี้สามารถที่จะทำขายได้ทั่วไป และอาจจะติดต่อขายส่งร้านขายอาหารมังสวิรัติซึ่งก็เป็นอีกช่องทางการขาย ยิ่งเข้าเทศกาลถือศีลกินเจประจำปีด้วยแล้ว จะยิ่งขายดี

ร้านของพรทิพา นอกจาก “ซาลาเปาลูกท้อ” แล้ว ก็ยังมีขนมเปี๊ยะ มีทั้งขนมเปี๊ยะโบราณ ขนมเปี๊ยะประยุกต์ เพิ่มสีสัน เพิ่มไส้แปลก ๆ ใหม่ ๆ อาทิ ขนมเปี๊ยะไส้พุทราจีน, ขนมเปี๊ยะไส้เผือก, ขนมเปี๊ยะไส้มะตูม ฯลฯ รวมถึงยังมีขนมโก๋ขายด้วย ใครสนใจก็ลองแวะไปชิมกันที่ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม เปิดขายทุกวันตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไป หมายเลขโทรศัพท์คือ โทร. 0-3475-1262 และ 08-6703-1475.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=106698

แนะนำอาชีพ'เครปเค้ก-คัพเค้ก'

ใกล้เทศกาลปีใหม่เข้ามาทุกที ซึ่งเทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลมอบของฝาก-ของขวัญ และขนม-เบเกอรี่ก็นิยมใช้เป็นของขวัญ คนทำขายจึงมีรายได้ดีในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ทางทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำเบเกอรี่ การทำ “เครปเค้ก” และ “คัพเค้ก” มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

******************

วรจันทร์ จันทร์แสนตอ หรือ หน่อย เป็นเจ้าของร้านสุขอุราคาเฟ่ ย่านถนนเฟื่องนคร หลังกระทรวงมหาดไทย (คลองหลอด) เจ้าตัวเล่าว่า “เครปเค้ก” เป็นหนึ่งขนมที่ขายดีของร้าน ราคาไม่แพง และอิ่มท้อง ประกอบด้วยแป้งเครปเรียงกันถึง 12 ชั้น ซึ่งเหมาะที่จะทานกับชา กาแฟ และเครื่องดื่มอื่น ๆ และยังเหมาะที่จะใช้เป็นของฝากในโอกาส หรือในช่วงเทศกาลต่าง ๆ รวมถึงเทศกาลปีใหม่

อุปกรณ์ในการทำเครปเค้กนั้น วรจันทร์บอกว่า ไม่มีอะไรยุ่งยาก ใช้เพียงอุปกรณ์เบเกอรี่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น อาทิ กะละมัง ตะกร้อตีแป้ง เตาไฟฟ้า กระทะเทปล่อน และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ

ส่วนผสมเครปเค้ก ในส่วนของ ตัวแป้ง ตามสูตรก็มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม, น้ำตาลทราย 30 กรัม, เกลือ 1/4 ช้อนชา, ไข่ไก่ 3 ฟอง, นมสด 400 มิลลิกรัม, เนยละลาย 20 กรัม



วิธีทำ ร่อนแป้ง แล้วนำส่วนผสม น้ำตาล เกลือ ผสมลงไป ค่อย ๆ ใส่ไข่ทีละฟอง และใส่นมสด ตามด้วยเนยละลาย ใช้ตะกร้อมือ หรือโถผสม ตีผสมจนเข้ากันดี เนื้อแป้งไม่เป็นเม็ด ก็เป็นอันใช้ได้

ตั้งกระทะบนเตาไฟฟ้า ใช้กระทะเทปล่อน ขนาด 8 นิ้ว เมื่อกระทะร้อน ค่อย ๆ ตักแป้งลงไปในกระทะประมาณ 1 ทัพพี รีบยกกระทะร่อนไปมา เพื่อให้แป้งไหลไปไหลมาจนเต็มกระทะ เมื่อแป้งสุก ให้กลับแป้งอีกด้านหนึ่ง เสร็จแล้วยกขึ้น ทำแบบนี้ประมาณ 12 ชิ้น ซึ่งจะคล้าย ๆ กับแผ่นโรตี แต่เป็นแป้งเครปที่นิ่ม ๆ

ต่อมาทำ วิปปิ้งครีม ตีครีมในอัตราส่วน 1 : 1 คือวิปปิ้งครีม 1 ถ้วยตวง และน้ำ 1 ถ้วยตวง โดยระหว่างที่ตีวิปปิ้งครีม ให้เติมกลิ่นวานิลลาลงไปด้วยพอประมาณ

ขั้นตอนการทำเป็น “เครปเค้ก” วางแผ่นเครปนิ่ม ๆ ลงบนภาชนะแบน จากนั้นตักวิปปิ้งครีมใส่ลงบนแผ่นเครปนิ่มพอประมาณ ปาดให้ทั่วแผ่น จากนั้นจึงวางแผ่นเครปลงไปบนชั้นของวิปปิ้งครีม และทาวิปปิ้งครีมลงไปอีก ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบ 12 แผ่น

จากนั้นผ่าเครปเค้กให้ได้ 8 ชิ้น ซึ่งในการตกแต่งหน้าเครปเค้กนั้น จะทำทีละชิ้น ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยการราดซอสผลไม้ต่าง ๆ ลงไปบนหน้า อย่างเช่นสตรอเบอรี่ซอส ซึ่งซอสผลไม้นี้จะทำเองก็ได้ หรือจะซื้อแบบสำเร็จรูปมาใช้ก็ได้ ทั้งนี้ ต้นทุนต่อเครปเค้ก 1 ก้อนใหญ่นั้น อยู่ที่ประมาณ 250 บาท หรือประมาณไม่เกิน 32 บาทต่อชิ้น ซึ่งสามารถตั้งราคาขายได้ที่ชิ้นละ 50 บาท หรือแล้วแต่ทำเลของร้าน

ต่อด้วยเบเกอรี่ที่น่าขายอีกอย่างในเทศกาลปีใหม่ คือ “คัพเค้ก” ซึ่งการทำคัพเค้ก 40 ถ้วย มีส่วนผสมดังนี้คือ แป้งเค้ก 300 กรัม, เนย 200 กรัม, น้ำตาล 220 กรัม, ผงฟู 20 กรัม, เกลือป่น 1/2 ช้อนชา, ครีมข้น 120 กรัม, ไข่ไก่ 7 ฟอง, เอสพี 15 กรัม, นมสด 300 กรัม

วิธีทำ ร่อนแป้ง เกลือ และผงฟูให้เข้ากัน จากนั้นค่อย ๆ ตีส่วนผสมให้เข้ากัน โดยใช้เครื่องตี หรือจะใช้ตะกร้อมือตีก็ได้ จากนั้นค่อย ๆ ทยอยใส่น้ำตาลทราย, ไข่ไก่, เนย, นมสด, เอสพี, ครีมข้น ลงไปตีผสมให้เข้ากัน เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย เป็นแป้งที่พร้อมใช้ในขั้นต่อไป

เตรียมพิมพ์ขนม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร หยอดแป้งลงไปประมาณ 3/4 ของถ้วย นำเข้าเตาอบนาน 25 นาที อบที่ความร้อน 180 องศา เท่านี้เป็นอันใช้ได้

จากนั้นจึงแต่งหน้าคัพเค้กด้วย บัตเตอร์ครีม ซึ่งประกอบด้วยการตีเนยสด 300 กรัม ผสมกับเนยขาว 200 กรัม, นมข้นหวาน 2 กระป๋อง และกลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา การแต่งหน้าคัพเค้กก็บีบบัตเตอร์ครีมจากกรวยแต่งหน้า ลงบนหน้าคัพเค้ก แล้วแต่งหน้าเพิ่มอีกทีด้วยลูกชุบ ทองหยอด หรือฝอยทองก็ได้ เท่านี้ก็ขายได้ราคา 35 บาทต่อถ้วย หรือแล้วแต่ทำเลร้าน ซึ่งจะมีต้นทุนต่อถ้วยประมาณ 15 บาท

**********

เบเกอรี่ทั้ง 2 อย่างนี้ทำได้ไม่ยาก และลงทุนไม่สูงมากนัก ซึ่งใครจะลองทำขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้มาถึงก็ต้องรีบฝึกฝีมือกันด่วน ส่วนร้านสุขอุราคาเฟ่ของหน่อย-วรจันทร์ อยู่ที่เลขที่ 39 ถนนเฟื่องนคร แขวงวังบูรพา เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร.0-2622-0487 เปิดขายวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.

ทีมา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=109306