Saturday, March 26, 2011

แนะนำอาชีพ 'ขนมเทียนแก้ว'

“ขนมเทียนแก้ว” เป็นขนมไทยประยุกต์ที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยโบราณ โดยดัดแปลงมาจากขนมเทียนที่คนส่วนใหญ่รู้จัก เป็นการเปลี่ยนตัวขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวมาใช้แป้งถั่วเขียวผสมแป้งมัน เมื่อนึ่งสุกแล้วตัวขนมจะใส มองเห็นไส้ขนมอยู่ตรงกลาง ทำให้ดูแปลกสะดุดตาเมื่อพบเห็น ตัวขนมจะร่อนไม่เหนียวติดมือ นุ่ม และได้รสชาติแสนอร่อย ตัวขนมเป็นก้อนเล็ก ๆ พอดีคำ ห่อหุ้มด้วยใบตอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์และเสน่ห์อย่างหนึ่งของขนมไทย วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ขอนำสูตรขนมเทียนแก้วโบราณ ซึ่งหารับประทานยากในปัจจุบัน มานำเสนอให้พิจารณากัน...

ณัฎฐ์ภัค เอื้อธรรมมิตร หรือ คุณหมวย เจ้าของสูตรขนมเทียนแก้วโบราณ (ขนมนมสาวขนานแท้ดั้งเดิม) เล่าให้ฟังถึงที่มาของสูตรขนมเทียนแก้วโบราณที่ทำให้ลูกค้าติดอกติดใจว่า การทำจะใช้วัตถุดิบอย่างดี และใส่ใจในการทำทุกขั้นตอน เนื้อขนมที่ออกมาจึงนิ่มอร่อย จนสืบทอดมาจนถึงรุ่นลูก เดิมก็ทำขนมไทยขาย ประเภท ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน แต่พอถึงยุคปัจจุบันจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพราะขนมไทยพวกนี้มีขายเต็มตลาด ทำให้เกิดการแย่งตลาดกันเพราะลูกค้ามีเท่าเดิม

“ปรึกษากับแฟนว่าถ้าตลาดเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ เราจะต้องมองหาช่องทางอาชีพอย่างอื่นเผื่อไว้ด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะเรายึดอาชีพทำขนมไทยขายเลี้ยงครอบครัวมานาน หลายสิบปีแล้ว จากการสำรวจตลาดนัดทั่วไปหรือตลาดสดต่าง ๆ ก็มาสรุปกันว่าน่าจะทำอาชีพที่เราถนัดและชำนาญจะดีที่สุด คือทำขนมขาย แต่เป็นขนมที่มีคนทำขายน้อย หรือดัดแปลงของเดิม ๆ มาใส่สีสันให้เป็นจุดขายเพื่อดึงดูดลูกค้า คิดไปคิดมาก็นึกสูตรขนมที่คุณแม่เคยสอนไว้ แล้วก็มาลงตัวที่ ขนมเทียนแก้ว และเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า จึงมีการปรับเป็น ขนมเทียนมรกต ขนมเทียนทับทิม ด้วย”

คุณหมวยบอกว่า กระแสตอบรับดีมาก อาจเป็นเพราะว่าเป็นขนมที่หาทานยาก ไม่ค่อยมีคนทำขาย ด้วยรสชาติกลมกล่อมอร่อย ไม่ใส่สารกันบูด สามารถเก็บได้ 1 สัปดาห์ในตู้เย็น มีการบอกปากต่อปากทำให้มีลูกค้าสั่งซื้อขนมเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ถือว่าขนมเทียนแก้วเป็นพระเอกก็ว่าได้

อุปกรณ์-วัสดุในการใช้ทำ หลัก ๆ ก็มี... เตาแก๊ส, เครื่องบด, กระทะทอง, ไม้พาย, กะละมัง, ถาด, กรรไกร, มีด, ซึ้งนึ่ง, ใบตอง และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบยืมเอาจากในครัวได้

ส่วนผสมที่ใช้ในการทำ ตัวแป้ง ใช้... แป้งถั่วเขียว, แป้งมัน ,น้ำตาลทราย, น้ำลอยดอกมะลิสด

สำหรับ ไส้ขนม ก็จะใช้... ถั่วทอง, น้ำตาลทราย, พริกไทยป่น, หอมแดง, น้ำมันพืช และเกลือขั้นตอนการทำ “ขนมเทียนแก้วโบราณ”เริ่มจากนำใบตองที่เตรียมไว้มาเช็ดให้สะอาด ตัด เจียนทำเป็นวงกลมกว้างตามขนาดที่ต้องการ ผึ่งให้นิ่ม
การทำไส้ขนม นำถั่วทองล้างให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้สัก 3 ชั่วโมง ก่อนจะนำไปนึ่งให้สุก แล้วบดให้ละเอียดหรือโขลกให้ละเอียด ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมัน แล้วใส่หอมแดงซอยลงผัดในกระทะให้หอม ใส่ถั่วบดลงไปผัด ตามด้วยน้ำตาลทราย พริกไทย เกลือ ผัดไปเรื่อย ๆ จนแห้ง ยกลงตั้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นไส้เป็นก้อนกลมเตรียมไว้การทำตัวแป้ง นำน้ำตาลทราย น้ำลอยดอกมะลิสด ตั้งไฟเคี่ยวทำเป็นน้ำเชื่อม เสร็จแล้วยกลงนำแป้งถั่วเขียว แป้งมัน น้ำลอยดอกมะลิสด ผสมคนให้เข้ากัน แล้วกรองใส่ลงในกระทะทอง ตามด้วยน้ำเชื่อมที่ทำไว้ลงไป คนให้ส่วนผสมแป้งเข้ากันดี ก่อนยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ กวนจนแป้งสุกใสจึงยกลง นำแป้งที่กวนสุกแล้วมาปั้นเป็นตัวขนมเทียนก้อนกลม ๆ โดยใส่ไส้ให้อยู่ตรงกลางแป้ง จากนั้นนำก้อนแป้งไปแช่ในถาดน้ำมันพืช เพื่อเตรียมห่อด้วยใบตองต่อไปเป็นขั้นตอนการห่อขนมเทียนแก้ว โดยนำเอาใบตองที่ตัดเจียนไว้มาทำเป็นรูปกรวย นำตัวแป้งที่แช่ในถาดน้ำมันพืชใส่ลงไปในกรวย แล้วห่อให้เป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ห่อเสร็จนำใส่ในซึ้งนึ่งประมาณ 15 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ราคาขายขนมเทียนแก้ว 12 ลูก 50 บาท

ใครสนใจอยากมีอาชีพเสริมหรือจะยึดเป็นอาชีพหลัก ด้วย “ขนมเทียนแก้ว” ก็ลองฝึกทำกันดู แต่จะทำขายก็ต้องเริ่มต้นด้วยการหาตลาดก่อนว่าจะขายยังไง ตรงไหน ดูกลุ่มลูกค้าว่าชอบแนวไหน ซึ่งขนมชนิดนี้ยังเหมาะใช้ในงานประชุมสัมมนา ทำบุญเลี้ยงพระ เป็นของฝากของขวัญช่วงเทศกาล โดยถ้าใครต้องการติดต่อคุณหมวย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6300-3235, 08-6104-9075.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=129132

แนะนำอาชีพ 'รองเท้ากันลื่น'

จากอดีตพนักงานรับส่งเอกสาร หันมาเอาดีในทางสร้างชิ้นงานประดิษฐ์ ที่แรกเริ่มเกิดจากความต้องการเพียงแค่ผลิตเพื่อใช้งานสำหรับตนและครอบครัว แต่ต่อมาสามารถต่อยอดจนผลิตเป็นสินค้าที่แปลกใหม่ และตอบสนองการใช้งานได้อย่างจริงจัง ผลงานประดิษฐ์ ’รองเท้าสุขภาพกันลื่น”วันนี้กลายเป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน”

“จงสวัสดิ์ สนหละหวังอารีย์” เจ้าของชิ้นงานเล่าว่า เดิมทำงานเป็นพนักงานรับส่งเอกสารประจำบริษัท ซึ่งอาชีพนี้เมื่อเข้าช่วงหน้าฝนมักจะเจอกับปัญหารองเท้าหนังที่สวมใส่อยู่ เปียกชื้น ทำให้มีกลิ่นอับ และชำรุดง่ายอยู่เสมอ ๆ จึงคิดว่าจะมีวิธีใดที่จะทำให้รองเท้าไม่เปียกฝน สามารถทำงานต่อได้ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่คิดประดิษฐ์รองเท้ากันฝนขึ้น และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจในปัจจุบัน ยิ่งภายหลังที่ได้ไปอบรมการเริ่มต้นธุรกิจจากหน่วยงานต่าง ๆ จึงมองว่าไอเดียนี้สามารถนำมาพัฒนาและต่อยอดทำเป็นธุรกิจได้ จึงเริ่มต้นธุรกิจจากจุดนั้น

สำหรับ “รองเท้าสุขภาพกันลื่น” จงสวัสดิ์เล่าว่า เกิดแรงบันดาลใจที่จะผลิตรองเท้าชนิดนี้ขึ้น ภายหลังคุณแม่ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำภายในบ้าน จึงคิดว่าน่าจะออกแบบรองเท้ากันลื่นที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัยไว้สวมใส่เพื่อ เดินไปมาในบ้าน จึงได้ออกแบบและทดลองทำอยู่นานกว่าจะได้วัสดุและการออกแบบที่ลงตัว ภายหลังจึงได้มาคิดต่อยอดเพิ่มขึ้นว่า...น่าจะเพิ่มประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น โดยเสริมพื้นรองด้านในของรองเท้า ให้มีลักษณะเป็นปุ่ม ๆ เพื่อสำหรับใช้นวดกดจุดที่ฝ่าเท้า เป็นการเพิ่มมูลค่าจากประโยชน์ใช้สอยได้อีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้ยังทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้มีที่มาจากการออกแบบและทดลองทำ โดยมุ่งเน้นที่ประโยชน์จากการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

“ตอนแรกคิดเพียงว่าจะผลิตออกมาสำหรับลูกค้ากลุ่มผู้สูงอายุ แต่ปรากฏว่าลูกค้ามีหลากหลายวัยมาก ซึ่งคนทั่วไปก็ซื้อไปสวมใส่เดินภายในบ้านได้ เพราะมีปุ่มนวดฝ่าเท้า และยังกันลื่น ทำให้มีตลาดกว้างขึ้น” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

สำหรับรูปแบบนั้น จงสวัสดิ์บอกว่ามีอยู่เพียง 2 แบบคือ แบบรัดส้น และแบบไม่รัดส้น ซึ่งลูกค้าหลายคนก็มีคำแนะนำเข้ามาเรื่อย ๆ บางคนแนะว่าน่าจะเป็นรองเท้าหนัง เพื่อที่จะสามารถนำไปใส่เดินนอกบ้านได้ แต่จากการทดสอบหลายครั้งพบว่า หากเป็นรองเท้าหนังจะทำให้เกิดปัญหากับลูกค้าบางรายที่มีลักษณะเท้าแต่ละราย ไม่เหมือนกัน และด้วยเหตุที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน คนไทยจึงมีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะที่ฝ่าเท้า จึงคิดว่าแบบโปร่งน่าจะสวมใส่ได้เหมาะกับสภาพมากกว่า และด้วยคุณสมบัติที่ยืดหยุ่น ทำให้ปรับขนาดได้ตามรูปทรงของเท้า สามารถใส่อาบน้ำ ใส่ว่ายน้ำได้เพราะทำจากเส้นใยที่แห้งเร็วและคงทน ด้วยราคาที่ไม่แพง นอกจากนี้แผ่นนวดฝ่าเท้าและส่วนหุ้มส้นเท้าสามารถแยกออกจากตัวรองเท้าได้ ตามความต้องการและการใช้งาน

“ถ้าวัสดุเป็นหนังจะไม่ยืดหยุ่นเท่ากับผ้าโพลีเอสเตอร์โปร่งแบบนี้ อีกทั้งยังดูแลรักษาและทำความสะอาดยากกว่าการใช้ผ้าโพลีเอสเตอร์ชนิดโปร่ง” เจ้าของชิ้นงานกล่าวอธิบาย

ทุนเบื้องต้นสำหรับอาชีพผลิตรองเท้าสุขภาพกันลื่น ใช้ประมาณ 100,000 บาท เป็นค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต อาทิ จักรอุตสาหกรรม สำหรับการเย็บรองเท้า เป็นต้น ซึ่งหากต้องการลดต้นทุนก็อาจเลือกใช้จักรเย็บที่เป็นของมือ 2 ซึ่งราคาก็จะถูกลงไปอีก ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย โดยราคาอยู่ที่คู่ละ 200 บาท

วัสดุในการผลิต ประกอบด้วย ผ้าโพลีเอสเตอร์ (ชนิดตาข่ายโปร่ง สำหรับทำหูรองเท้า), หนังแก้ว (สำหรับกุ๊นหรือหุ้มริมขอบรองเท้า), วัสดุสังเคราะห์ หรือโฟมผสมยาง (สำหรับทำปุ่มพื้นรองด้านใน), เวลโคร หรือตีนตุ๊กแก (สำหรับใช้ยึดติดกับพื้นด้านในรองเท้า), ผ้าตาข่ายขน (สำหรับทำพื้นรองเท้าด้านใน), ผ้าชุดว่ายน้ำ (สำหรับยึดระหว่างหูและพื้นรองเท้า) และพื้นยางกันลื่น (สั่งทำพิเศษตามการออกแบบ)

“วัสดุที่ใช้จะมีเหตุผลรองรับสำหรับการใช้งาน อย่างผ้าโปร่งโพลีเอสเตอร์นั้นก็เพื่อให้ระบายน้ำและอากาศได้ดี อีกทั้งยังช่วยยืดหยุ่น ปรับตามลักษณะเท้าของผู้สวมใส่ ส่วนผ้าชุดว่ายน้ำนั้นนำมาเย็บเป็นตัวยึดระหว่างหูรองเท้าและพื้น ซึ่งเหตุที่ใช้วัสดุนี้ เพราะมีความยืดหยุ่นและระบายน้ำได้ดีกว่าผ้าชนิดอื่น”

ขั้นตอนการทำ ’รองเท้าสุขภาพกันลื่น” เริ่มจากออกแบบรูปทรงรองเท้าที่ต้องการ ทำการตัดวัสดุที่เตรียมไว้ ตามส่วนประกอบของรองเท้าแต่ละส่วนที่ได้ออกแบบไว้ จากนั้นเริ่มขึ้นชิ้นงาน โดยเริ่มจากการเย็บหูรองเท้า จากนั้นทำการเย็บเข้ากับตัวรองเท้า และทำการประกบเข้ากับพื้นรองฝ่าเท้าด้านล่างที่เป็นยาง ทำการเย็บขอบเก็บริมหรือกุ๊นด้วยหนังแก้ว ทำการตกแต่งและบรรจุใส่บรรจุภัณฑ์ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำรองเท้าสุขภาพกันลื่น

“จุดเด่นของชิ้นงานอาจไม่ได้อยู่ที่รูปแบบหน้าตาของรองเท้า แต่อยู่ที่ประโยชน์จากการใช้งานจริง ๆ มากกว่า เพราะรองเท้าสุขภาพกันลื่นเกิดขึ้นจากความต้องการที่ต้องการรองเท้ากันลื่น ที่สามารถใช้งานได้จริง ๆ กับชีวิตประจำวัน”

ใครสนใจติดต่อจงสวัสดิ์ ได้ที่ กลุ่มรองเท้ากันลื่น เลขที่ 55/298 ถนนรามคำแหง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ โทร. 08-3857-3534 ซึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็มีที่มา มีจุดเริ่มต้นในการทำอาชีพที่น่าพิจารณา.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=129015

Wednesday, March 23, 2011

แนะนำอาชีพ 'ข้าวฮางหอม'

ข้าวฮาง เป็นข้าวที่ผลิตขึ้นตามกรรมวิธีโบราณ และเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวภูไทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สืบต่อกันมานานกว่า 200 ปี ปัจจุบันข้าวฮางได้รับการจดสิทธิบัตรทางการค้าและขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าบ่ง ชี้ทางภูมิศาสตร์หรือจีไอ (GI:Geographical Indications) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ในนามข้าวฮางหอมทองสกลทวาปี ขณะเดียวกันยังเป็นสินค้าโอทอป (OTOP) ระดับ 5 ดาว ซึ่งช่วยให้สินค้าดังกล่าวมีศักยภาพการแข่งขันและเป็นที่ยอมรับเพิ่มสูงขึ้น

นายสมยศ ภิราญคำ รองเลขาธิการรักษาการในตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนา เกษตรกร เปิดเผยว่า สำนักงานกองทุนฟื้นฟูฯได้สนับสนุนเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ให้กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านนาบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร จำนวน 500,000 บาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการแปรรูปข้าวฮางเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิต ข้าว ป้อนให้กับตลาดและกลุ่มผู้บริโภคที่รักษ์สุขภาพที่มีความต้องการสูง เพื่อช่วยให้เกษตรกรสมาชิกมีอาชีพและมีรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัวเพิ่มขึ้น

กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านนาบ่อเป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังมีความสามัคคี มีระบบบริหารจัดการและควบคุมภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถผลิตข้าวฮางหอมคุณภาพดีป้อนตลาดได้สัปดาห์ละประมาณ 1-1.2 ตัน ซึ่งผลิตภัณฑ์มี 2 รูปแบบ คือ ชนิดถุง บรรจุ 1 กิโลกรัม ราคา 50 บาท และชนิดขวด บรรจุ 4.25 กิโลกรัม ราคา 250 บาท ซึ่งขณะนี้กลุ่มฯ ได้ชำระเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยให้กับกองทุนฟื้นฟูฯเกือบครบแล้ว

ทางด้าน นางสาวนิภาพร ร่มเกษ วัย 26 ปี หนึ่งในสมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านนาบ่อ กล่าวว่า สมาชิกจำนวน 38 ราย จะร่วมวางแผนและช่วยกันผลิตข้าวฮางให้ทันตามยอดสั่งซื้อของลูกค้าที่มีอย่าง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ จะชอบข้าวฮางมากเนื่องจากมีกลิ่นหอมและมีรสชาติดีแล้ว ที่สำคัญยังมีสารอาหารครบถ้วนและคุณค่าทางโภชนาการสูงด้วย ทำให้
ยอดจำหน่ายข้าวฮางหอมในช่วงปี 2553 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 1.8 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 20% หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว กลุ่มฯ มีกำไรสุทธิกว่า 534,000 บาท ซึ่งปี 2554 นี้ แนวโน้มตลาดยังไปได้ค่อนข้างดี

ปีนี้ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านนาบ่อได้ปรับกลยุทธ์เพื่อพัฒนาสมรรถนะและเพิ่มขีด ความสามารถการแข่งขัน พร้อมสร้างโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรในหมู่บ้านกว่า 56 ครัวเรือน ให้ผลิตข้าวอินทรีย์ ซึ่งกลุ่มจะรับซื้อผลผลิตอินทรีย์เพื่อเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็น ข้าวฮางอินทรีย์ ขณะเดียวกันยังเร่งพัฒนาศักยภาพสมาชิกกลุ่มในทุกขั้นตอนและกระบวนการผลิต ข้าวฮาง ตั้งแต่แผนกคัดเลือกข้าวเปลือกคุณภาพดี แผนกนึ่งข้าว แผนกสีข้าว และแผนกบรรจุภัณฑ์ ทั้งยังจะเร่งพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ ตลอดจนเชื่อมโยงการผลิตและสร้างเครือข่ายการตลาดด้วย

...นอกจากนั้น ยังมีแผนเร่งถ่ายทอดองค์ความรู้กรรมวิธีการผลิตและการแปรรูปข้าวฮางหอมไปสู่ เยาวชน นักเรียนและยุวเกษตรกรในพื้นที่ที่มีความสนใจ เพื่อทดแทนรุ่นเดิมที่มีอายุสูงขึ้น มุ่งให้สืบทอดและสานต่อภูมิปัญญาการผลิตข้าวฮางไปสู่รุ่นลูกหลานต่อไป ไม่ให้สูญหายจากท้องถิ่น.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=345&contentID=128257

Sunday, March 20, 2011

แนะนำอาชีพ 'ยาดมสมุนไพร'

จากความชอบส่วนตัวก็สามารถทำให้กลายเป็นอาชีพมานักต่อนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานเย็บปักถักร้อย งานประดิดประดอยต่าง ๆ ซึ่งถ้าตลาดไปได้ดี มีคนนิยมชมชอบ จากแค่อาชีพเสริมสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นอาชีพหลักได้เลย อย่างการทำ “ยาดมสมุนไพร” ขาย นี่ก็อยู่ในข่าย และก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ยังไม่ตกยุค...

หมู-พฤทธิ์ พิมพบุตร เป็นเจ้าของยาดมสมุนไพร “บุษย์น้ำทอง” ซึ่งมีสถานที่ในการผลิตคือที่บ้านของตัวเอง โดยมีญาติ ๆ และคนในครอบครัวเป็นผู้ช่วยผลิตในแต่ละขั้นตอน เจ้าตัวเริ่มต้นผลิตจริงจังตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา และเริ่มจำหน่ายในช่วงเดือนธันวาคมในปีเดียวกัน พฤทธิ์บอกว่า แรงบันดาลใจมาจากความชอบส่วนตัวที่เป็นคนชอบการดมยาดมอยู่เป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าดมแทบจะทุกยี่ห้อเลยก็ว่าได้ และก็ไปเจอยาดมสมุนไพรยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งรู้สึกประทับใจในกลิ่นอย่างมาก เพราะมีความแตกต่างจากยาดมยี่ห้ออื่น ๆ ที่เคยดมมา ยิ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจ

อยากผลิตเป็นแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง จึงไปเรียนการทำยาดมสมุนไพรที่ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย ซึ่งขณะที่เรียนนั้นทุกคนก็ต้องทำสูตรเดียวกันหมด ซึ่งเป็นสูตรของอาจารย์ ทำให้ไม่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง จึงได้ศึกษาเพิ่มเติม และนำสิ่งที่เรียนจากชมรมนี้มาปรับสูตรการทำยาดมสมุนไพรให้แตกต่างออกไปจาก ที่เคยเรียนมา ซึ่งกว่าจะลงตัวก็ใช้ระยะเวลาพอสมควร ก่อนจะนำไปขาย ก็เริ่มจากแจกจ่ายให้ญาติ ๆ และเพื่อนฝูงได้ทดลองใช้ก่อน

เจ้าตัวเล่าอีกว่า ความแตกต่างของสูตรยาดมสมุนไพรของตนนั้น คือการใช้ ผิวมะกรูด นอกจากนี้ยังมีการนำเมนทอล และยูคาลิปตัส มาผสมในตัวยาดมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนที่ทดลองทำยาดมแรก ๆ นั้น มีส่วนผสมทั้งหมด 13 ชนิดคือ กานพลู พริกไทยดำ โกฐหัวบัว โกฐสอ เปลือกสมุลแว้ง ดอกจันทน์ แก่นจันทน์ขาว ผิวมะกรูด โป๊ยกั๊ก พิมเสน เมนทอล การบูร แต่ปัจจุบันได้ตัดเปลือกสมุลแว้ง และโป๊ยกั๊กออกไป

สมุนไพรที่ใช้ในการทำยาดมทุกอย่างนั้นหาซื้อได้ที่ร้านค้าย่านแยกวัดตึก กรุงเทพฯ แต่ละชนิดมีราคาตั้งแต่ 70–1,500 บาท ซึ่งปัจจุบันนี้ราคาสมุนไพรสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเกือบ 50% เนื่องจากมีผู้นิยมนำมาทำยาดมมากเช่นกัน สมุนไพรบางตัวราคา กก.ละกว่า 1,000 บาท เช่น ดอกจันทน์ ราคา กก.ละ 1,200–1,300 เมนทอล ราคา กก.ละ 1,500 บาท แต่บางอย่างก็ราคาไม่แพง อาทิ แก่นจันทร์ขาว ราคา กก.ละ 70 บาท ส่วนพริกไทยดำ และกานพลู ราคา กก.ละประมาณ 350-450 บาท

วิธีทำ สมุนไพรทุกอย่างที่นำมาทำ ก็ทำให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยการผ่า ยกเว้น กระวาน กานพลู พริกไทยดำ และพิเศษตรงลูกมะกรูดสดที่ต้องฝานเอาแต่เปลือกออกมา แล้วนำเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปผึ่งไว้ 2-3 วันก่อน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำมาใส่ลงในผ้าขาวรวมกัน เฉลี่ยอย่างละ 200 กรัม จากนั้นใช้ผ้าพลาสติกคลุมไว้ 2-3 วัน

ส่วน พิมเสน เมนทอล การบูร จะแยกไปตุ๋นไว้ต่างหาก

พฤทธิ์บอกว่า เคล็ดลับในการทำยาดมสมุนไพรนั้น คือส่วนผสมแต่ละอย่างต้องแห้ง เช่น มะกรูด ยิ่งตากแห้งเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าแต่ละอย่างมีความเปียกหรือแฉะมากเกินไปจะทำให้สมุนไพรไม่เข้าเนื้อกัน ส่วนสถานที่ในการทำยาดมนั้นก็ต้องสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย วิธีทำขั้นต่อมาคือ นำพิมเสน เมนทอล การบูร ปริมาณอย่างละเท่า ๆ กัน มาตุ๋นรวมกัน เพื่อให้ละลายจนได้น้ำออกมาใส่ขวดพักไว้ นำส่วนผสมต่าง ๆ มารวมกันแล้วหมักไว้ 3-5 วันจึงเปิดออก ใช้ไม้คลึง หรือใช้ขวดแก้วมาคลึงเพื่อให้สมุนไพรบางตัวที่เป็นเม็ดแตกออก ให้ส่งกลิ่นหอมออกมา ตักน้ำที่เป็นส่วนผสมของพิมเสน เมนทอล การบูร ประมาณ 15 ช้อนชาลงไปคลุกให้เข้ากัน โดยพฤทธิ์บอกว่า การคลุกสมุนไพรกับน้ำหมักนั้น ต้องค่อย ๆ ตักลงผสมทีละช้อน อย่าตักใส่ลงไปทีเดียวหมด เพราะจะทำให้สมุนไพรแฉะ

เมื่อผสมส่วนผสมครบแล้ว ก็ค่อย ๆ ตักแบ่งใส่ขวดแก้วที่เตรียมไว้ ขวดเล็กใส่สมุนไพร 2 กรัม, ขวดกลาง ใส่ 5 กรัม และขวดใหญ่ใส่ 10 กรัม ปิดฝา และติดสติกเกอร์ให้เรียบร้อย ขายในราคาขวดละ 25, 35 และ 50 บาทตามลำดับ โดยพฤทธิ์บอกว่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว จะได้กำไรขวดละประมาณ 30% จากราคาขาย

“สูตรนี้เป็นสูตรโดยเฉลี่ยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สามารถเพิ่มสมุนไพรบางตัวได้ หากอยากได้กลิ่นหอมของสมุนไพรชนิดนั้น ๆ แต่ข้อสำคัญคือในการผสมอย่าทำให้เกิดความแฉะ สมุนไพรที่ดีต้องแห้ง” พฤทธิ์กล่าวแนะนำ


สนใจ “ยาดมสมุนไพร” ของ พฤทธิ์ พิมพบุตร ติดต่อได้ที่ 29/98 หมู่บ้านวรารักษ์ ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โทร. 08-3070-8916 และ 08-5058-9777 หรืออีเมล ppm1629@hotmail.com ซึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในปัจจุบันยังไม่ตกยุค.


ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคา

รายได้ ราคาขวดละ 25-50 บาท

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ส่งร้านขายยา-ร้านค้าทั่วไป

จุดน่าสนใจ คนไทยยังนิยมใช้กันมาก

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=127754

Saturday, March 19, 2011

แนะนำอาชีพ ’โรสติ๊กแฮมชีส’ ’ฝรั่งฮักลาว“

การเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเองนั้น ยังคงเป็นความฝันของหลาย ๆ คน ซึ่งการจะทำร้านอาหารก็จำเป็นต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ขณะเดียวกัน ร้านอาหารนั้นบางทีนอกจากเมนูหลัก ๆ แล้ว เมนูทานเล่นเรียกน้ำย่อยก็อาจเป็นเมนูเด่นทำเงินดีของทางร้านได้ หรือกลายเป็นเมนูที่นำไปฝึกทำขายเดี่ยว ๆ ก็ยังได้ ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลมาตอบโจทย์ 3 ส่วนนี้ กับสูตร ’โรสติ๊กแฮมชีส” ’ฝรั่งฮักลาว” ของ ร้าน “ตู้กับข้าว”


ออสการ์-พัสธนัช กันตวิรุฬกุล เจ้าของร้านตู้กับข้าว ได้บอกเล่าถึงวิธีและขั้นตอนการเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ให้อยู่ได้ และเดินไปข้างหน้าได้ รวมทั้งยังมาเปิดสูตรการทำอาหาร โดยย้อนที่มาที่ไปว่า เป็นคนที่ชอบทำอาหาร ซึ่งฝีมือการทำอาหารก็ไม่ได้ไปเรียนที่ไหน แต่เป็นการฝึกทำเอง เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบทานข้าวนอกบ้าน ไม่ชอบทานผงชูรส จึงมักจะทำทานเองที่บ้านเป็นประจำ ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อย เพราะเพื่อน ๆ อยู่ที่นั่นกัน ไปทีไรเพื่อน ๆ ก็มักจะให้ทำอาหารไทยให้ทาน เพื่อน ๆ ก็ติดใจในรสมือกัน ทุกคนบอกว่าอร่อย ยุให้เปิดร้านอาหาร

“ก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้เราได้มาก หลังจากนั้นก็เริ่มมีความคิดที่จะเปิดร้านอาหาร โดยเข้าหุ้นกับ ชลิดา คณาลัย เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ เราตั้งใจที่จะเปิดเป็นร้านเล็ก ๆ เพราะร้านอาหารนั้นเราต้องมีเวลาใส่ใจมาก เราเองก็ทำงานประจำอยู่แล้ว การเปิดร้านเล็ก ๆ จึงดีกว่าที่จะเปิดใหญ่โต อีกอย่างถ้าเปิดแล้วไปไม่รอดเราก็ไม่เจ็บตัวมาก”

การจะเปิดร้านอาหาร ถึงจะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่านึกอยากจะเปิดก็เปิดได้เลย ออสการ์บอกว่า การเลือกทำเลเป็นอีกเรื่องจำเป็น อย่างที่ร้านเองพอได้ทำเลแล้วก่อนจะเปิดก็ต้องมานั่งนับคนที่สัญจรผ่านไป ผ่านมาว่ามีจำนวนมากแค่ไหน ดูกลุ่มลูกค้าที่เดินผ่านว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของร้านเราหรือไม่ ใช้เวลาดูลูกค้าอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ดูตั้งแต่วันธรรมดาไปจนถึงวันหยุดด้วย

หลังจากนั้นก็เริ่มออกสำรวจย่านที่จะเปิดร้าน ดูว่าในย่านนั้น ๆ มีร้านอาหารประเภทไหน ร้านอะไรบ้าง หรือร้านประเภทเดียวกับเรามีอะไรบ้าง และนอกจากจะสำรวจย่านที่จะเปิดร้านแล้ว ก็ควรขยายไปสำรวจเขตรอบนอกด้วย นอกจากนี้ นอกจากจะสำรวจร้านแล้วก็ต้องศึกษาในเรื่องของราคาอาหารด้วย

นอกจากนั้น ในเรื่อง “ของสด” ก็ต้องศึกษาให้ดีก่อน ต้องสำรวจตลาด เช็กราคา ของสดนั้นต้องเน้นซื้อใช้วันต่อวัน ใช้ของดี ให้คิดว่าเรากินยังไงเราก็ต้องขายให้ลูกค้าได้กินอย่างนั้น

พอเปิดร้านแล้ว ในเรื่องของความสะอาดก็ต้องมาก่อน ครัวต้องสะอาด พนักงานก็ต้องดูสะอาด และการบริการก็ต้องดี ที่สำคัญการที่จะเปิดร้านอาหารนั้นควรที่จะมีความรู้ความสามารถในการทำอาหาร การทำอาหารนั้นต้องมีการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้มีความนิ่งในรสชาติของ อาหารที่ทำ ความรู้เทคนิคเรื่องการใช้ไฟ การใช้อุปกรณ์ ก็จำเป็น คนทำอาหารจะต้องมีความรู้ด้านนี้ด้วย

และก่อนเปิดร้าน ออสการ์ก็แนะนำว่า ควรจะเข้าไปหากรมสรรพากรเพื่อศึกษาในเรื่องภาษีให้เรียบร้อย การเปิดร้านจะต้องขอใบอนุญาตประเภทสะสมอาหารและจำหน่ายอาหาร จากเขตพื้นที่ที่จะเปิดร้านให้เรียบร้อย

ในส่วนของเมนูอาหารของร้าน ถ้าเป็นร้านอาหารที่เน้นแบบจานเดียวจานด่วน ที่ขาดไม่ได้เลยก็เป็นพวกข้าวผัดกะเพรา ข้าวไข่เจียว และข้าวผัดต่าง ๆ ที่สามารถคิดเมนูออกมาได้หลากหลาย อย่างของที่ร้านของออสการ์-พัสธนัช เมนูข้าวผัดก็ได้รับความนิยม เพราะมีเมนูให้ลูกค้าได้เลือกเยอะ ไม่ว่าจะข้าวผัดกุ้ง ข้าวผัดหนำเลี้ยบหมูสับ ข้าวผัดกุ้งสามสี ข้าวผัดเขียวหวาน ข้าวผัดหมูเค็ม ฯลฯ นอกจากนั้น ก็ยังมีเมนูต้มยำ ผัด แกง ทอด ต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้เลือกด้วย

เมนูของร้านนี้ แม้จะเป็นร้านเล็กแต่ก็มีอยู่กว่า 100 เมนู อาทิ ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ, ไก่กรอบผัดเม็ดมะม่วง, ลาบหมูทอด, กะหล่ำผัดเบคอน, ตำข้าวโพดไข่เค็ม ฯลฯ และนอกจากอาหารหลักแล้ว เมนูอาหารทานเล่นก็เป็นอีกเมนูที่ร้านอาหารควรมี และที่ร้านของออสการ์ เมนู ’ฝรั่งฮักลาว“ และ ’โรสติ๊กแฮมชีส“ ก็เป็นเมนูทานเล่นที่ทำง่ายขายดี

สำหรับเมนู “ฝรั่งฮักลาว” วัตถุดิบหลัก ๆ ที่ใช้ในการทำก็มี เบคอน, แหนม ส่วนเครื่องเคียงที่ใช้ทานคู่กันก็มี ขิง, ผักชี, พริกขี้หนู, ถั่วลิสงคั่ว การทำก็ไม่ยาก เริ่มจาก... นำแหนมแท่ง ซึ่งจะใช้แหนมอะไรก็ได้ทั้งนั้น นำมาหั่นให้ได้ขนาดตามต้องการ แล้วนำเบคอนมาพันแหนม จากนั้นก็ตั้งกระทะใส่น้ำมันใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันร้อน จึงนำเบคอนที่พันแหนมลงทอด ใช้เวลาทอดประมาณ 1 นาที ดูว่าเบคอนหดตัวแล้วก็ตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่ภาชนะ เสิร์ฟพร้อม ขิง, ผักชี, พริกขี้หนู, ถั่วลิสงคั่ว ราคาขายในร้านอาหาร 5 ชิ้น 110 บาท

ส่วนเมนู “โรสติ๊กแฮมชีส” วัตถุดิบก็มี แฮม, ชีสอย่างดี, แป้งเปาะเปี๊ยะ วิธีทำ นำแป้งปอเปี๊ยะ 1 แผ่น มาวาง จากนั้นนำแฮม 5 กรัม ใส่ลงไปบนแผ่นแป้ง โรยด้วยชีส 10 กรัม โรยลงไปให้ทั่ว แล้วทำการม้วนแผ่นแป้ง โดยใช้แป้งข้าวโพดผสมน้ำทาติดแผ่นแป้ง การม้วนแผ่นแป้งนั้นต้องทำการเก็บหัวท้ายให้มิดชิดเพื่อไม่ให้ชีสไหลออก มานอกแผ่นแป้งเวลานำไปทอด การทอดก็ใช้ไฟปานกลาง ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อนจึงใส่ลงไปทอด ดูว่าแป้งเป็นสีเหลืองทอง ก็ตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟพร้อม มายองเนส ทานคู่กัน ราคาขายในร้านอาหาร 6 ชิ้น 95 บาท

“การลงทุนเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ไม่ควรลงทุนทีเดียวเยอะ ๆ แนะนำว่าควรค่อย ๆ ลงทุนไปเรื่อย ๆ เหมือนซื้อของเข้าบ้านจะดีกว่า ส่วนราคาอาหารของที่ร้านมีตั้งแต่ 75-290 บาท มีต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ของราคาขาย ซึ่งจริง ๆ แล้วการทำอาหารขายไม่ควรให้ต้นทุนเกินกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย” ออสการ์แนะนำทิ้งท้าย


ใครสนใจเมนู ’โรสติ๊กแฮมชีส’ ’ฝรั่งฮักลาว“ ของร้าน “ตู้กับข้าว” ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.30-22.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2679-7076, 08-0303-3203 หรือเข้าไปดูในเว็บไซต์ www.tookubkao.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการเปิดร้านอาหาร และการทำอาหารขาย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=127556

Sunday, March 13, 2011

แนะนำอาชีพ 'ขนมอาลัวกุหลาบ'

“อาลัว” ขนมหวานของไทย เอกลักษณ์-จุดเด่นคือมีสีสันและรูปร่างหน้าตาที่ชวนรับประทาน เหมาะแก่การเป็นของฝาก และยังเป็นขนมที่สามารถเก็บไว้ได้นาน ซึ่งร้านขนมไทย “สามหนุ่ม” ทำขนมชนิดนี้ขายก็ได้รับการตอบรับดีมาก จากจุดเด่นที่หน้าตาและรสชาติที่แปลกแตกต่างจากอาลัวที่ขายกันทั่วไป โดยทำเป็น “อาลัวกุหลาบ” ที่สวยงาม รสชาติก็จะไม่หวานมาก และสีไม่เข้ม ทำให้ขนมดูน่ารับประทาน เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา...

ออย-ภัทราพร เตียสุวรรณ์ เจ้าของร้านขนมไทยร้านนี้เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่เธอและแฟนจะหันมายึดอาชีพทำขนมไทยขายนั้น ทั้งสองเคยทำงานเป็นผู้ดูแลบังกะโลที่ จ.กระบี่ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว พอทำไปนาน ๆ เข้าก็รู้สึกเบื่อ และคิดถึงอนาคตข้างหน้าว่าถ้ามีลูก แก่ตัวลง คงลำบาก เพราะเงินเดือนประจำนั้นไม่มีพอจะเหลือเก็บ

“ก็ปรึกษากัน ตอนนี้อายุเราทั้งคู่ยังไม่ถึง 30 ปี น่าจะเริ่มต้นทำอาชีพหรือธุรกิจอะไรสักอย่างเป็นของตนเองได้แล้ว จะมัวมานั่งทำงานและรอรับเงินเดือนคงไม่ไหว ก็ช่วยกันคิดและมองหาว่าจะทำอะไรกันดี แฟนก็บอกทำขนมขายดีกว่า แฟนเขาทำขนมเป็นเกือบทุกอย่าง เพราะที่บ้านแฟนเปิดร้านขนมไทยโบราณ ส่วนเราก็ขายเก่ง แต่สาเหตุสำคัญที่ตัดสินใจทำขนมไทยขายเพราะคิดว่าในปัจจุบันคนไม่ค่อยกินขนม ไทย เราทั้งสองอยากอนุรักษ์ขนมไทย ทำขนมอร่อย ๆ ให้คนกิน จึงลาออกจากงานและพากันเข้ากรุงเทพฯ มาทำขนมไทยขายได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว ซึ่งผลตอบรับดีมาก”

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำขนมไทย อย่าง “อาลัวกุหลาบ” ก็มี... เตาแก๊ส, กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, ถุงบีบ, หัวบีบเบอร์ 124 และเบอร์ 67, ร่มสำหรับทำฐาน, กรรไกร, นอตล็อกหัวบีบ, ไม้คลึง, พิมพ์สำหรับทำกระทง (พิมพ์วุ้นแบบที่เข้าเตาอบได้), เตาอบ, ผ้าแก้ว, หม้ออบลมร้อน เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบส่วนผสมก็มี... แป้งสาลีตราบัวแดง, แป้งท้าวยายม่อม, นมสดรสจืด, หัวกะทิ, น้ำตาลทราย, เทียนอบขนม, สีผสมอาหาร (สีเขียว, สีชมพู, สีส้ม)

การทำ อันดับแรกต้องทำแป้งฐานก่อน ส่วนประกอบก็มี... แป้งสาลี, เนยสด และน้ำเปล่า โดยผสมแป้งสาลี เนย น้ำ ใส่รวมกัน นวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี พักทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง คลึงแป้งแล้วแผ่ให้เป็นแผ่น ใช้พิมพ์ตัดกดเป็นรูปกระทง ก่อนจะนำไปอบพอเหลือง ตั้งพักไว้

ขั้นตอนการทำเป็น “อาลัวกุหลาบ” เริ่มจากนำแป้งสาลี กับแป้งท้าวฯมาร่อนผสมกัน แล้วนำไปอบควันเทียน พักไว้ ผสมน้ำตาลทราย น้ำกะทิ นมสด คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน แล้วกรองด้วยผ้าแก้ว ก่อนจะนำแป้งที่เตรียมไว้ค่อย ๆ เทลงไปในส่วนผสมน้ำกะทินมสด นวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี ใส่ลงในกระทะทอง ยกขึ้นตั้งบนเตาใช้ไฟปานกลาง กวนเร็ว ๆ และแรงจนแป้งเหนียวข้นและใส แสดงว่าแป้งสุกแล้ว ยกลงมาพักไว้

ตักแบ่งแป้งออกเป็นส่วน ๆ เพื่อผสมสีแต่ละส่วนตามความชอบ (สีขาว คือไม่ต้องใส่สี )

ขั้นตอนต่อไปคือการบีบแป้งเป็นรูป “ดอกกุหลาบ” โดยใช้หัวบีบเบอร์แต่งหน้าเค้ก 124 ทำกลีบดอก และเบอร์ 67 ทำใบหรือกลีบเลี้ยง ตักแป้งอาลัวที่ผสมสีแล้วใส่ถุงบีบ แล้วล็อกหัวบีบ เวลาบีบต้องวางฐานกระทงบนร่ม เริ่มทำเกสรก่อน นำหัวบีบเบอร์ 124 ทำเกสร วางปากหัวบีบด้านกว้างลงกึ่งกลางร่ม ให้มือซ้ายหมุนร่มไปพร้อมกับมือขวาบีบแป้งอาลัว หมุนวนประมาณสองรอบครึ่ง ให้ออกมาเป็นลักษณะเลข ๑ ไทย แล้วปาดจบ

จากนั้นทำเป็นกลีบดอก วางปากหัวบีบลงบนฐานร่มแล้วค่อย ๆ บีบแป้งเป็นรูปโค้งยกให้สูงกว่าและโอบรอบเกสรเล็กน้อย แล้วปาดปากหัวบีบลงกับร่ม จะได้กลีบชั้นที่ 1 พอชั้นที่ 2 เริ่มตรงกึ่งกลางกลีบชั้นที่ 1 ทำสับหว่างไปอย่างนี้จนได้ขนาดที่ต้องการ ใช้กรรไกรตัดส่วนดอกออกจากฐาน ก่อนจะนำไปอบในหม้ออบลมร้อน หรือจะตากแดดก็ได้

ขนมอาลัวดอกกุหลาบ บรรจุในกล่องสวยเก๋ 8 ชิ้น ขายราคา 45 บาท นอกจากนี้ที่ร้านขนมไทยของออยยังมีขนมไทยอีกหลากหลายอย่างที่ชวนรับประทาน อาทิ ขนมใส่ไส้, วุ้นกะทิ, ขนมเหนียว, ขนมต้ม, ขนมชั้นกุหลาบ, ขนมถั่วแปบเสวย, ขนมลืมกลืน, ขนมกล้วย, ขนมมัน ฯลฯ ซึ่งจะทำหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ทุกวัน

“ขนมไทย” ร้านขนมไทย “สามหนุ่ม” นอกจากขายที่ร้านทุกวันอังคาร-พฤหัสฯ-ศุกร์ ที่ซอยละลายทรัพย์ (สีลมซอย 5) และวันพุธขายที่กระทรวงการคลัง ยังสามารถรับไปจัดเลี้ยงนอกสถานที่และออกงานทั่วไป เช่น งานมงคล งานปีใหม่ งานวันเด็ก และงานเทศกาลอื่น ๆ ด้วย โดยติดต่อได้ที่ โทร.08-6662-4605 และ 08-5982-4146

นี่ก็บ่งบอกว่า “ขนมไทย” ยังมีอนาคต!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=126409

Saturday, March 12, 2011

แนะนำอาชีพ 'ซองโน๊ตบุ๊ก'

อาชีพด้านงานประดิษฐ์หรืองานฝีมือนั้น นอกจากต้องพัฒนาเทคนิคและคุณภาพสินค้าอยู่ตลอดแล้ว การมองหาตลาด-มองหาโอกาสกับลูกค้าใหม่ ๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากมองเห็น-วิเคราะห์เป็น โอกาสที่จะขายสินค้าได้ก็มีมากขึ้น ตัวอย่างเช่นงานไอเดียที่ต่อยอดจากงานถักโครเชต์จนเป็น ’ซองใส่โน้ตบุ๊ก” เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน”

“นัฐกาญจน์ ซื่อตรง” เจ้าของงานไอเดีย เล่าว่า สนใจงานที่เกี่ยวกับการถักโครเชต์มานาน อาศัยใช้เวลาว่างฝึกหัดและหยิบจับทำมาตั้งแต่เด็ก โดยได้ความรู้จากคนในครอบครัว แต่ก็ทำเป็นเพียงงานอดิเรกและทำขึ้นเพื่อไว้สำหรับแจกจ่ายหรือมอบเป็นของ ขวัญของที่ระลึกให้คนรู้จักและเพื่อนฝูงเท่านั้น ต่อมามีเพื่อนและคนรู้จักมาติดต่อเพื่อขอให้ทำชิ้นงานขึ้น จึงมองว่าถ้าจะนำความรู้ความชำนาญตรงนี้มาต่อยอดผลิตขึ้นเป็นสินค้าก็น่าจะ สร้างรายได้เสริมได้ จึงผลิตงานเพิ่ม และประกาศจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ http://icer.weloveshopping.com ของตัวเอง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสั่งทำชิ้นงานเป็นพิเศษ

“แรก ๆ จะประดิษฐ์เป็นตุ๊กตาการ์ตูน ต่อมามองว่าน่าจะดัดแปลงปรับให้สินค้านำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จึงเริ่มทำสินค้าที่เป็นประเภทของใช้ ทั้งยังนำไปประดับตกแต่งได้เพิ่ม อาทิ ที่รองแก้ว ที่รองจาน ผ้าปูโต๊ะ และซองสำหรับใส่คอมพิวเตอร์พกพา หรือโน้ตบุ๊ก รวมถึงซองสำหรับใส่อุปกรณ์กระจุกกระจิกเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

สำหรับซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนี้ เจ้าของชิ้นงานระบุว่า ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าผู้หญิง เพราะแปลกใหม่ และมีรูปแบบที่ออกแนวน่ารัก ไม่เหมือนกับซองที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด นอกจากนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมสั่งทำสินค้า โดยเน้นที่ “ปักชื่อ” หรือ “สัญลักษณ์” ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นจุดขายที่แตกต่างออกไปจากซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในตลาด โดยลูกค้าสามารถเลือกแบบ-เลือกสีได้ตามต้องการ

หลายคนอาจจะมองว่าสินค้างานถักโครเชต์ ตลาดแคบ และเป็นสินค้าไม่ทันสมัย เรื่องนี้นัฐกาญจน์ยืนยันว่าตลาดยังสามารถเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยสินค้าของเธอจะขายดีเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่, เทศกาลวาเลนไทน์ ส่วนที่หลายคนมองว่างานถักโครเชต์ค่อนข้างเชยนั้น เธอกล่าวว่าขึ้นอยู่กับไอเดียการออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุมากกว่า เพราะถ้าออกแบบและเลือกใช้สีได้ดี เหมาะกับรสนิยมและความต้องการของลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าให้หลากหลาย ก็สามารถที่จะเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างแน่นอน

และนอกจากเราจะพยายามผลิตให้สินค้ามีหลากหลายชนิดแล้ว ในเรื่องของลาย หรือแพตเทิร์น ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตลอด เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกจำเจ อย่างล่าสุดที่กำลังจะต่อ ยอดจากซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพิ่มก็คือ ซองใส่ไอแพด ซึ่งก็เป็นการปรับเปลี่ยนตามสภาพความต้องการของตลาด

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้เงินลงทุนประมาณ 500 บาทขึ้นไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 20% ของราคาขาย ที่ขึ้นกับขนาดและแบบของซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เริ่มที่ราคา 200-300 บาทต่อชิ้น ขณะที่วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ประกอบด้วย เข็มสำหรับถักไหมพรม (เข็มถักโครเชต์), ไหมพรมชนิดต่าง ๆ, กรรไกร และอุปกรณ์ตกแต่งชิ้นงานตามชอบ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบลวดลายที่ต้องการจะถัก รวมถึงการกะขนาดของชิ้นงานที่จะถักตามความต้องการ จากนั้นเริ่มทำการจับด้ายหรือเริ่มขึ้นชิ้นงาน โดยยกมือซ้าย หันด้านฝ่ามือเข้าตัวเอง จับด้ายมาเกี่ยวกับนิ้ว จากนั้นนำด้ายที่อยู่ทางด้านกลุ่มด้ายมาพันหนึ่งรอบที่นิ้วก้อย ใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางจับด้าย จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ จนครบเต็มพื้นที่ของชิ้นงานที่ต้องการ แล้วทำการตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่งที่ต้องการ อาทิ ริบบิ้น, ลูกปัด, กระดุมเม็ดต่าง ๆ เพื่อทำให้สินค้าดูน่าสนใจและมีรายละเอียด หรือมีลูกเล่นมากขึ้น

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=126259

Sunday, March 6, 2011

แนะนำอาชีพ 'ส้มตำโบราณ'

ขาย “ส้มตำ” อาจจะคิดว่า ต้องใช้ครก ใช้สากแบบเต็มรูปแบบ แต่มีส้มตำแบบโบราณที่ไม่ต้องมีครก-สากก็สามารถเป็นส้มตำได้ อย่าง “ส้มตำโบราณ” ที่ปราณบุรี ที่เป็น “ช่องทางทำกิน” กรณีศึกษาในวันนี้...

สายฝน แสงพรม หรือ แม่แหม่ม เป็นเจ้าของร้านส้มตำโบราณแม่แหม่ม เจ้าตัวเล่าว่า ส้มตำโบราณนี้ตนเองเพิ่งจะมาขายได้ไม่นาน แต่จริง ๆ แล้วมีขายมาตั้งแต่สมัยรุ่นยาย และเมื่อหลายปีก่อนตนก็เคยขายไว้รอบหนึ่ง เพื่อเป็นรายได้เสริม เพราะมีลูกหลายคน ต้องส่งเรียนหนังสือ แต่ตอนหลังไม่สบาย จึงได้เลิกขายไปช่วงหนึ่ง เพื่อรักษาตัว เมื่อทางราชการได้มาบูมถนนคนเดิน ที่สถานีรถไฟปราณบุรี ก็ได้ออกมาขายอีกครั้ง ส่วนสูตรส้มตำโบราณนี้ก็เป็นสูตรมาตั้งแต่รุ่นยายซึ่งตนก็เป็นฝ่ายรับช่วง ต่อมา ส้มตำโบราณนี้ เป็นส้มตำที่ไม่ต้องใช้ครก เน้นใช้ของทะเลเป็นส่วนประกอบหลัก อาทิ ปลาหมึกตากแห้ง ปีกปลาหมึกตากแห้ง ไข่ปลาหมึก ปลาหวาน หอยเสียบ ส่วนผักสดมี มะละกอดิบ และแตงกวา ราดด้วยน้ำจิ้ม 3 แบบ คือ ซอสแดง, น้ำจิ้มเผ็ดมาก มีรสเปรี้ยว และน้ำจิ้มเผ็ดกลาง มีรสชาติหวาน อุปกรณ์ที่ใช้เป็นอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดทั่วไปที่ใช้ในครัวเรือน แต่จะใช้เตาถ่าน ตะแกรงปิ้ง ถาด สำหรับปิ้งปลาหมึก และของสดอื่น ๆ กล่องพลาสติกสำหรับใส่มะละกอ และแตงกวา และโถแก้วสำหรับใส่น้ำจิ้ม 3 โถ ตะบวย เครื่องปั่น มีดสำหรับสับมะละกอ ฯลฯ

มะละกอดิบ แต่ละวันใช้ประมาณ 10 กก. ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกให้เรียบร้อย ค่อย ๆ สับลงไป และขูดออกเป็นเส้น ๆ เหมือนทำมะละกอส้มตำ ส่วนแตงกวานั้นให้ผ่าครึ่งตามยาว แล้วซอยเป็นชิ้น ๆ จากนั้นใส่กระติกน้ำขนาดกลาง โดยใส่มะละกอลงไปจำนวนหนึ่งก่อน ใส่แตงกวาลงไป ตามด้วยมะละกอ และแตงกวา สลับกันไปเป็นชั้น ๆ จากนั้นใส่น้ำแข็งบดแช่เย็นแล้วปิดฝา เตรียมไว้ ส่วนของทะเล มีปลาหวาน ใช้ปลาริวคิว กก.ละ 240 บาท ใช้คราวละ 2 กก., หอยเสียบ ราคา กก.ละ 300 บาท ใช้ 300 กรัม, ไข่ปลาหมึก 2 กก. ราคา กก.ละ 300 บาท ปีกปลาหมึกตากแห้ง แบบเป็นแผ่น ๆ กก. ละ 300 บาท ใช้ 1.5 กก. และปลาหมึกตากแห้งแบบตัวเล็ก หรือปลาหมึกกะตอย กก. ละ 300 บาท ใช้ 1.5 กก.

ปลาหมึกตัวเล็ก ให้ตัดเป็นชิ้นเล็ก 1 ตัวตัดได้ 2 ชิ้น นำไปเสียบไม้ ไม้ละ 7 ชิ้น แล้วนำไปย่าง ปีกปลาหมึกตากแห้ง ใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เสียบไม้ ไม้ละ 8 ชิ้นเช่นกัน แล้วนำไปย่าง ปลาหวานใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้น ๆ นำไปทอด ไม่ต้องเสียบ หอยเสียบนำมาเสียบไม้ละ 12 ตัว แล้วนำไปย่าง ส่วนไข่ปลาหมึก ซื้อมาเป็นแท่งยาว ๆ นำไปตากแดด 1 แดดก่อนแล้วนำมาเสียบ ไม้ ไม้ละ 5 ชิ้น แล้วนำไปย่าง ซึ่งจะขายราคาไม้ละ 15 บาท

แต่ละอย่าง เมื่อทอด และย่างมาจากบ้านแล้ว ใส่กล่องแพ็กเตรียมไว้ ก่อนวางขาย ให้จิ้มซอสแดงแล้ววางเรียงบนถาดให้เรียบร้อย

สำหรับน้ำจิ้มมี 3 แบบ แบบแรกคือ ซอสแดง สำหรับจิ้มของทุกชนิดก่อนขาย และใช้เป็นน้ำจิ้มสำหรับ
จิ้มปลาหมึกตอนขาย ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาลปึก 2 กก. นำไปเคี่ยวให้ละลาย จากนั้นใส่ซอสแดงที่ใส่ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 2 ถุง (ถุงละ 5 บาท) ลงไป ส่วนน้ำจิ้มอีก 2 อย่าง มีน้ำจิ้มแบบเผ็ดมาก แต่มีรสเปรี้ยว และน้ำจิ้มเผ็ดปานกลาง แต่มีรสหวาน วิธีทำน้ำจิ้มแบบเผ็ดมาก ให้ละลายน้ำตาลปึก 2 กก. กับน้ำเปล่า 2 ลิตร และหัวน้ำส้มสายชู 1/2 กก. ให้เข้ากัน พักไว้ จากนั้นตำพริกขี้หนู 1/2 กก. และกระเทียม 9 กลีบ เข้าด้วยกัน และใส่เกลือลงไป 2 ช้อนชา แล้วนำไปผสมกับส่วนผสมชุดแรก ซึ่งวิธีทำน้ำจิ้มนี้สามารถใช้เครื่องปั่นก็ได้ เสร็จแล้วนำน้ำจิ้มที่ทำเสร็จแล้วใส่ในขวดโหลแก้วเตรียมไว้ ส่วนวิธีทำน้ำจิ้มเผ็ดปานกลาง แต่มีรสหวาน ให้ละลายน้ำตาลปึก 1.5 กก. และน้ำเปล่า 1.5 กก. ให้เข้ากัน จากนั้นตักน้ำจิ้มเผ็ดมากออกมา 3-4 ตะบวย ลงไปผสม ใส่โหลแก้ว เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย วิธีขาย แม่แหม่มบอกว่า จะตั้งราคาขายตามของทะเลเป็นหลัก คือขายตามราคาไม้ ส่วนผักสด ได้แก่ มะละกอสับ และแตงกวา และน้ำจิ้ม ทางร้านจะให้ฟรี ซึ่งหลัก ๆ จะให้น้ำจิ้มเผ็ด (จะเป็นน้ำจิ้มแบบเผ็ดมาก หรือเผ็ดปานกลาง ก็แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก) และซอสแดง วิธีทำเป็น “ส้มตำโบราณ” คือ คลุกมะละกอดิบสับ และแตงกวาสับ กับน้ำจิ้มให้เข้ากัน วางของทะเลตามที่ลูกค้าสั่งไว้ด้านบนให้สวยงาม เท่านี้ก็เรียบ ร้อย และจะให้ซอสแดงสำหรับจิ้มปลาหมึกเพิ่มด้วย

ถ้าลงทุนของประมาณ 2,000 บาท ขายหมดจะได้ 3,000 บาทขึ้นไป

ส้มตำโบราณร้านแม่แหม่ม ขายอยู่ที่ตลาดถนนคนเดิน 200 ปี หน้าสถานีรถไฟปราณบุรี บ้านเมืองเก่า หมู่ที่ 5 ตำบลปราณบุรี อำเภอปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขายทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป หมายเลขโทรศัพท์ 08-6084-8210.

--@--คู่มือลงทุน ส้มตำโบราณ

ทุนอุปกรณ์ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ 2,000 บาท/วัน
รายได้ 3,000 บาทขึ้นไป/วัน
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ตลาดนัด/แหล่งชุมชน
จุดน่าสนใจ ขายเป็นรายได้เสริมได้

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=516&contentID=125047

Friday, March 4, 2011

แนะนำอาชีพ 'ปลูกว่านสี่ทิศ'

วันก่อนได้มีโอกาสติดตามนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เดินทางไปยังจังหวัดเชียงรายเพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานของสหกรณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ และในโอกาสนี้ได้เข้าเยี่ยมชมสถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี หมู่บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

ซึ่งเป็นแหล่งศึกษาทดลองการปลูกพืชหลากหลายชนิดจนสามารถขยายผลสู่เกษตรกรใน พื้นที่นำไปเพาะปลูกเชิงพาณิชย์และพัฒนามาเป็นการรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อทำ การตลาดในผลผลิตของกลุ่มภายใต้แนวทางของการสหกรณ์ ซึ่งก็คือการเตรียมการเพื่อจัดตั้งเป็นสหกรณ์ของกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่เพื่อ บริหารด้านการผลิตและการตลาดต่อไป โดยมีพืชหลายชนิดที่จะนำมาบริหารจัดการ หนึ่งในนั้นก็มีว่านสี่ทิศซึ่งเป็นไม้ดอกประเภทหัว

ว่านสี่ทิศมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและกึ่งร้อนของทวีปอเมริกา มีประมาณ 80 ชนิดด้วยกัน แต่จากการปรับปรุงพันธุ์ในต่างประเทศสามารถสร้างพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย ซึ่งมีลักษณะและขนาดของต้น และสีของดอก แตกต่างกันไป มีทั้งพันธุ์ที่มีกลีบดอกชั้นเดียว และดอกซ้อนจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

จากการศึกษาทดลองที่ดอยวาวีพบว่า ว่านสี่ทิศ เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี เช่น ดินปนทรายที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง 6.1 ในกรณีที่ปลูกเลี้ยงในกระถางควรใช้ดินผสมที่มี ดิน : ทราย : ขี้เถ้าแกลบ : ปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วน 2 : 1 : 1 : 1 ดินผสม 1 ลูกบาศก์เมตร ว่านสี่ทิศที่เจริญเติบโตเต็มที่จะมีใบ 4-6 ใบ จะผลิตใบใหม่ได้เดือนละใบ และทุก ๆ 4 ใบ จะมีตาดอกและจุดกำเนิดหัวการเกิดตา ดอกขึ้นอยู่กับอายุและขนาดของหัว หัวขนาด 22-24 เซนติเมตร ให้ช่อดอกได้ 1 ช่อ หัวใหญ่กว่า 24 เซนติเมตร ให้ดอกได้ 2 ช่อ

การรักษาตาดอกของว่านสี่ทิศไม่ให้ฝ่อ ทำโดยการขุดหัวขนาดใหญ่ ผึ่งให้กาบนอกแห้งที่ 23 องศาเซลเซียส เก็บหัวไว้ที่ 13 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 8 สัปดาห์ ที่ 17-29 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 2 สัปดาห์ ที่ 9 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 8 สัปดาห์ และที่ 21-25 องศาเซลเซียส ในสภาพมืด 2 สัปดาห์ เมื่อนำออกปลูกจะแทงช่อดอกในเวลา 6-8 สัปดาห์ และงดการให้น้ำ จนใบแห้งแล้วทำการขุดหัวที่มีขนาดใหญ่ มีเปลือกนอกสุดของหัวสีน้ำตาล หรือดำ นำไปเก็บไว้ที่ 4-10 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และเมื่อนำออกปลูกจะแทงช่อดอกภายในเวลา 2 สัปดาห์

ว่านสี่ทิศขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด การแยกหัวหรือการแยกหน่อ การผ่าหัว และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

เกษตรกรที่สนใจเพาะปลูกว่านสี่ทิศในเชิงพาณิชย์เข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ที่ สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี จังหวัดเชียงราย ทุกวันนี้มีผู้คนเดินทางเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เป็นสถานที่ราชการที่มีที่พักให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=123499&categoryID=673

แนะนำอาชีพ 'ซอสปรุงรสสูตรใหม่เศษเหลือทิ้งจากกุ้ง'

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกกุ้งรายใหญ่ของโลก โดยมีผลผลิตออกสู่ตลาดโลกประมาณ 420,000 ตัน ในปี 2553 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึงกว่า 100,000 ล้านบาท

สำหรับผลิตภัณฑ์ส่งออกจากกุ้งมีตั้งแต่การแปรรูปขั้นต้น เช่น กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง ไปกระทั่งถึงการแปรรูปในลักษณะพร้อมรับประทาน เช่น กุ้งกระป๋อง กุ้งชุบแป้งทอด เป็นต้น และด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงทำให้ส่วนเหลือทิ้งที่เป็นเปลือก หัว และหางกุ้งมีปริมาณมากในแต่ละปี โดยน้ำหนักส่วนเหลือทิ้งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของน้ำหนักกุ้ง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสภาวะแวดล้อมและเป็นภาระในการกำจัดเป็นอย่างยิ่ง

กรมประมงจึงมีแนวคิดที่จะนำเศษเหลือจากการแปรรูปกุ้งขาวแวนาไม ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปกุ้งมาเพิ่มมูลค่าโดยใช้ เทคโนโลยีชีวภาพมาสกัดโปรตีนจากหัวกุ้งและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ซอสหัวกุ้ง สำหรับประกอบอาหารในครัวเรือน ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ไขปัญหาขยะเหลือทิ้งจากการแปรรูปกุ้ง ได้เป็นอย่างดี

นางสาวสิริรัตน์ จงฤทธิพร นักวิชาการผลิตภัณฑ์อาหาร กองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง หนึ่งในทีมนักวิจัยผู้คิดค้นผลงาน “การเพิ่มมูลค่าเศษเหลือจากการแปรรูปกุ้งขาวแวนาไม” เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศษเหลือทิ้งจากการแปรรูปกุ้งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับอุตสาหกรรมอาหาร สัตว์ ซึ่งนับว่ามีมูลค่าค่อนข้างต่ำ จึงมีแนวคิดที่จะนำเศษเหลือทิ้งจากกุ้งมาวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ด้วยการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปรุงอาหาร “ซอสหัวกุ้ง” ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมอาหารต่อเนื่องได้ในอนาคต

สำหรับขั้นตอนการศึกษาวิจัย เริ่มจากการนำหัวกุ้งและเปลือกกุ้งที่ผสมกันจากโรงงานแปรรูปมาคัดแยก โดยเลือกเฉพาะส่วนของหัวกุ้งไปสกัดโปรตีนไฮโดรไลเสตโดยใช้เอมไซม์และ จุลินทรีย์ชนิดแล็กติกเอซิด ซึ่งจะได้โปรตีนสกัดจากหัวกุ้ง แล้วจึงนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ซอสหัวกุ้งต่อไป

วิธีการทำซอสเริ่มด้วยการ นำโปรตีนไฮโดรไลเสตจากหัวกุ้ง 200 กรัม ซีอิ๊วขาว 67 กรัม น้ำตาลทราย 24 กรัม กลูโคส 34 กรัม แป้งข้าวโพด 34 กรัม น้ำ 67 กรัม มาตุ๋นรวมกันจนเดือด คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงบรรจุขวดขณะร้อน โดยซอสหัวกุ้งที่ผลิตได้จะมีลักษณะข้น สีน้ำตาลแกมแดง รสชาติเค็มอมหวาน เป็นที่ยอมรับของผู้ทดสอบ สามารถประกอบอาหารเพื่อปรุงแต่งกลิ่นกุ้งได้หลากหลายชนิด เพิ่มรสชาติและคุณค่าโภชนาการทางอาหารได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 7 ชนิด

“งานวิจัยชิ้นนี้ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดทางความคิด เนื่องจากการผลิตซอสหัวกุ้งที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้ ยังไม่ได้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับอายุการเก็บรักษา นอกจากนี้ ลักษณะของน้ำซอสยังมีการแยกชั้นเมื่อวางพักทิ้งไว้นาน จึงอาจต้องมีการพัฒนาวิธีการผลิต หรือปรับปรุงสูตรให้มีความเหมาะสมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในวงการอุตสาหกรรม อาหารต่อไป” นางสาวสิริรัตน์ จงฤทธิพร กล่าว

ทั้งนี้ หากภาคเอกชน หรือกลุ่มธุรกิจ รายย่อยทั่วไปมีความสนใจในงานวิจัยดังกล่าว และต้องการนำวิธีการไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายในท้องตลาดต่อไป สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง โทรศัพท์ 0-2940-6130-45 ต่อ 80, 0-2561-1143 ในวันและเวลาราชการ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=123277&categoryID=673

แนะนำอาชีพ 'ปลูกปาล์มน้ำมัน'

"ปาล์มน้ำมัน” จัดเป็นพืชยืน ต้นที่มีอายุการให้ผลผลิตอย่างยาวนาน 20-25 ปี ดังนั้นการคัดเลือกสายพันธุ์, การเตรียมการปลูก และการปลูกสร้างสวนปาล์มน้ำมันในช่วงแรกนับว่ามีความสำคัญที่สุด ต้นปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสูงอย่างสม่ำเสมอนั้นขึ้นอยู่กับการเตรียมพื้นที่ และการจัดการสวนในระยะเริ่มปลูกสร้างสวน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต้นปาล์มอยู่ในระยะอ่อนแอ ดังนั้นการปฏิบัติที่ถูกวิธีในการปลูก และการดูแลรักษา จะเป็นแนวทางอันหนึ่งที่ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิต และลดค่าใช้จ่ายในการผลิตในระยะยาวได้

ปัจจุบันปาล์มน้ำมันได้มีการขยายพื้นที่ปลูกไปยังภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือแม้แต่พื้นที่ลุ่มภาคกลางโดยเฉพาะบริเวณทุ่งหลวงรังสิต ได้มีการใช้พื้นที่ที่เคยปลูกส้มเขียวหวานมาก่อนมาปลูกปาล์มน้ำมันกันมาก ขึ้นในขณะนี้

มีข้อมูลว่ามีการปลูกปาล์มน้ำมันในทุ่งรังสิตมา 6 ปีแล้ว ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่า 6,000 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี คุณวิสันต์ สินธุนนท์ เกษตรกรดีเด่นภาคใต้ ปี 2540 ได้นำร่องใช้พื้นที่ 1,000 ไร่ ใช้ปาล์มน้ำมันสายพันธุ์ ทนแล้งปานกลางและมีคุณสมบัติพิเศษคือปลูกได้ในพื้นที่ที่มีแสงน้อยและ อุณหภูมิต่ำ ในพื้นที่ทุ่งหลวงรังสิต ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นต้นแบบการปลูกปาล์มน้ำมันสายพันธุ์ที่มีคุณภาพดี ในพื้นที่เหมาะสมเพื่อผลประโยชน์ ตอบแทนและความคุ้มค่าสูงสุดในอาชีพ โดยมีเป้าหมายใช้พื้นที่ปลูก 1 ไร่ ให้ผลตอบแทนมากเท่ากับ 3 ไร่ โดยปลูกปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตสูง 5-6 ตันต่อไร่ต่อปี เมื่ออายุ 8 ปี, ผลผลิตสม่ำเสมอ ติดทะลายดก, น้ำหนักทะลายเฉลี่ย 18-22 กิโลกรัม,
ให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันมากกว่า 30%

การคัดเลือกสายพันธุ์ และต้นกล้าปาล์มน้ำมัน อายุของต้นกล้าปาล์มที่ใช้ปลูก ควรมีอายุ 10-18 เดือน และต้องผ่านการคัดต้นกล้าที่ผิดปกติทิ้ง เช่น ต้นเตี้ย และแคระแกร็น ทางใบทำมุมที่แคบกว่าปกติ ทางใบสั้น ต้นผอมชะลูด ซึ่งการดูแลรักษาต้นกล้าปาล์มน้ำมันในแปลงเพาะมีความสำคัญมากในการผลิตปาล์ม น้ำมัน ถ้ามีการนำต้นกล้าปาล์มที่ไม่แข็งแรงและไม่สมบูรณ์ไปปลูกจะให้ผลผลิตช้า และผลผลิตที่ได้จะต่ำในระยะยาว ดังนั้นการพิจารณาแหล่งพันธุ์ และแหล่งเพาะกล้าจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการทำสวนปาล์มน้ำมันให้ประสบ ความสำเร็จ

ไม่ควรใช้ต้นกล้าที่มีอายุต่ำกว่า 10 เดือนไปปลูก เพราะการใช้ต้นกล้าอายุน้อยจะทำให้มีอัตราการผิดปกติของต้นปาล์มในแปลงสูง และให้ผลผลิตต่ำ ควรเลือกใช้ต้นกล้าปาล์มน้ำมันที่มีอายุ 18 เดือนไปปลูกทั้งนี้ เพราะจะทำให้ต้นปาล์มตกผลเร็ว และให้ผลผลิตถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วกว่าใช้ต้นกล้าปกติเป็นจุดที่เกษตรกรควร ให้ความสำคัญ เพราะจะเป็นปัจจัยอันหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=673&contentID=124658

แนะนำอาชีพ 'เพาะพันธุ์กระต่าย'

การ ’เพาะพันธุ์กระต่ายขาย“ เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ที่สามารถสร้างรายได้ ทำเงินได้ดีไม่แพ้สัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ ซึ่งกระต่ายนั้นเพาะพันธุ์ได้เร็ว สามารถเพาะเลี้ยงได้ในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด หากใส่ใจศึกษาหาความรู้ในการเพาะเลี้ยง บวกกับใจรัก การเพาะพันธุ์กระต่ายก็จะเป็นทั้งการสร้างรายได้ที่ดี และเป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข...

ป๊อบ - ปริญญา บัวสะตา เจ้าของร้าน BE BUNNY POP ใช้ความรู้ความสามารถ บวกใจรัก ทำอาชีพเพาะพันธุ์กระต่ายขาย เจ้าของร้านบอกว่า การเพาะเลี้ยงกระต่ายนั้น มีหลายฟาร์มที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยง สายพันธุ์ และที่สำคัญไม่ได้ทำด้วยใจรัก แต่ทำตามกระแสนิยม

สำหรับป๊อบ เริ่มต้นธุรกิจนี้จากการที่รักสัตว์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเห็นว่าเป็นช่องทางที่ดี ตลาดยังให้ความนิยม ยังสามารถขยายฐานการตลาดได้อีก เพราะกระต่ายน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เข้ากับวิถีชีวิตคนเมือง ใช้พื้นที่การเลี้ยงน้อย

เมื่อมองเห็นช่องทาง จึงได้เริ่มทำอย่างจริงจัง โดยสั่งนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ของพันธุ์ Holland Lop ระดับแชมป์ที่สวยที่สุดจากอเมริกา เข้ามาพัฒนาสายพันธุ์ ซึ่งในช่วงปี 2552 ขณะนั้นตลาดกระต่ายพันธุ์นี้ยังไม่มีใครทำจริงจัง

“เราทดลองพัฒนาสายพันธุ์ ทดลองการผสมสีของกระต่าย จนได้ลูกพันธุ์ที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับ แล้วจึงค่อยนำออกขายในตลาด พอเริ่มขายก็ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีลูกกระต่ายเท่าไหร่ก็สามารถขายได้หมด เพราะเป็นพันธุ์แท้ 100% มีใบรับรองสายพันธุ์ และมีการรับประกันคุณภาพ หากเกิดการตายภายใน 7 วัน”

เพื่อเป็นการสร้างจุดขาย นอกจากจะต้องเป็นสายพันธุ์ที่ดีแล้ว สีสันของกระต่ายที่เพาะก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบกระต่ายที่มีสีสันสวยงามแปลกตา ตรงนี้จะดึงดูดลูกค้าและเพิ่มราคาค่าตัวกระต่ายได้ด้วย

กระต่ายสายพันธุ์ Holland Lop มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รักความสะอาด มีอายุประมาณ 8 ปี กระต่ายมีวงจรการขยายพันธุ์ได้ทุกเดือน ผสมพันธุ์แล้วค่อยตกไข่ ตัวเมียตั้งท้องราว 1 เดือน ให้ลูกคลอกหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3 ตัว

ป๊อบแนะนำว่า สำหรับผู้ที่สนใจต้องการที่จะเพาะเลี้ยงกระต่ายขายเป็นอาชีพเสริม ก็ทดลองทำได้ แค่ขอให้มีใจรักและตั้งใจจริง โดยอาจจะเริ่มเลี้ยงประมาณ 3-4 คู่ก่อนก็ได้ ที่สำคัญควรซื้อพ่อแม่พันธุ์จากฟาร์มที่มีมาตรฐาน โดยราคามีตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไปต่อพ่อแม่พันธุ์ 1 ตัว ทั้งนี้ การเพาะกระต่ายจะต้องคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ได้มาตรฐานตามสายพันธุ์ โดยพ่อแม่พันธุ์ที่สามารถทำการผสมพันธุ์ได้นั้นจะต้องมีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป สามารถใช้ผสมได้ไปจนถึงอายุประมาณ 3 ปี ก็ควรหยุด เพราะถ้าเอากระต่ายอายุ 3 ปีกว่าไปผสม ลูกกระต่ายที่ออกมาจะเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ดี

การดูว่ากระต่ายถึงเวลาผสมพันธุ์แล้วหรือยังนั้นให้สังเกตจากตัวเมียเป็น หลัก สังเกตดูบริเวณอวัยวะเพศของตัวเมีย ถ้าเป็นสีชมพูอ่อนหรือสีขาวแสดงว่ายังไม่พร้อม แต่ถ้าเป็นสีแดงสดจัด แสดงว่าอยู่ในภาวะพร้อมที่จะผสมพันธุ์แล้ว

การผสมก็จับตัวผู้ที่เป็นพ่อพันธุ์ใส่ลงไปร่วมกรงกับแม่พันธุ์ที่พร้อมจะผสม จากนั้นก็ปล่อยให้กระต่ายผสมพันธุ์กันเอง หรือผู้เลี้ยงอาจจะช่วยโดยการประคองตัวเมียไว้ให้อยู่กับที่ พอตัวผู้ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็แยกออกมาจากตัวเมีย

โดยกระต่ายนั้น การผสมพันธุ์ครั้งแรกก็สามารถติดลูกได้ทันที หลังจากนั้นกระต่ายตัวเมียจะตั้งท้องประมาณ 30 วัน ในช่วงตั้งท้องเราต้องทำการบำรุงตัวเมียอย่างเต็มที่ โดยให้กิน หญ้าอัลฟาฟ่า เช้า-เย็น ทุกมื้อ ซึ่งหญ้าชนิดนี้มีโปรตีนที่สูง

ก่อนที่ตัวเมียจะคลอดประมาณ 1 สัปดาห์ ให้ย้ายตัวเมียไปไว้ที่กล่องไม้ขนาดยาวประมาณ 60 ซม. กว้าง 30 ซม. ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู ปูกล่องไม้ด้วยหญ้าแห้ง กระต่ายจะคลอดในกล่องดังกล่าวนี้

หลังจากคลอดลูกกระต่ายจะกินนมแม่ พอลูกกระต่ายอายุ 10 วันก็จะลืมตา และมีขนขึ้นเต็มตัว พออายุประมาณ 15 วัน ลูกกระต่ายจะเริ่มออกจากรังและเริ่มกินหญ้าหรืออาหารแข็งได้ และจะหย่านมเมื่ออายุราว 5 สัปดาห์

ลูกกระต่ายอายุได้ประมาณ 1 เดือนครึ่งก็สามารถนำออกจำหน่ายได้ ไม่ควรนำกระต่ายออกขายขณะอายุน้อยกว่านี้ เพราะกระต่ายที่เล็กเกินไปไม่มีภูมิต้านทานโรค เมื่อลูกค้าซื้อไปจะมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก เพราะกระต่ายยังไม่หย่านมแม่ เมื่อนำไปให้กินอาหารชนิดอื่นก็จะเกิดอาการท้องเสีย จนตาย

การเลี้ยงกระต่ายนั้นดูแลง่าย แค่ต้องเน้นในเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมาก พยายามล้างทำความสะอาดกรงให้บ่อย เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่สามารถติดเชื้อโรคได้ง่ายถ้ากรงสกปรก

ค่าอาหารที่กระต่ายกินต่อ 1 ตัว คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 100-150 บาทต่อตัวต่อเดือน

สำหรับราคาซื้อขายกระต่ายนั้นมีหลายเกรด ถ้าเป็นเกรดที่นำไปเลี้ยงเล่นก็อยู่ที่ประมาณ 500-2,000 บาท ถ้าเป็นเกรดสีสันสวยงาม ราคามีตั้งแต่ 5,000-8,000 บาท ถ้าเป็นเกรดระดับประกวดก็ราคา 10,000 บาท ขึ้นไปเลยทีเดียว

สำหรับใครที่สนใจกระต่ายสายพันธุ์สวยงาม สนใจจะซื้อพ่อแม่พันธุ์เพื่อนำไปประกอบธุรกิจ แวะไปดูได้ที่ตลาดนัดจตุจักรพลาซ่า โซน A ซอย 8 ห้อง A59-60 หรือสอบถามได้ที่ โทร. 08-3035-3845 และ 08-0556-6330 หรือดูได้ในเว็บไซต์ www.bebunnypop.com ทั้งนี้ ใครอยากมีอาชีพในรูปแบบนี้ ก็รีบสานฝันอย่างถูกวิธี ทางคุณป๊อบ–ปริญญา บอกว่ายินดีให้คำปรึกษา.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=124900

Wednesday, March 2, 2011

แนะนำอาชีพ 'ปลูกพริกหลังนา'

เดิมหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว เกษตรกรในพื้นที่บ้านก๋ง ต.ยม อ.ท่าวังผา จ.น่าน ส่วนใหญ่มักจะว่างงาน หลายคนอพยพเข้าสู่กรุงเทพฯและเมืองใหญ่ ๆ เพื่อหางานทำ จนกระทั่งเมื่อปี 2544 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำเพื่อการเกษตรด้วยระบบน้ำหยด จึงมีการรวบรวมสมาชิกเข้าร่วมโครงการฯ แรกเริ่มมี 21 ราย เลือกกิจกรรมปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น ช่วงแรกก็จะปลูกไม้ผลแต่บางปีได้ผลผลิตน้อย ทำให้ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน อีกทั้งประสบปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำ จึงปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชอายุเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อยแทนซึ่งสมาชิก สามารถทำได้หลังฤดูทำนา พืชที่ปลูกได้แก่ พริก ผักกาด คะน้า และหอม ทำให้มีรายได้ดีขึ้น

กำนันทองคำ มินทร ประธานวิสาหกิจชุมชนกสิกรรมไร้สารพิษบ้านก๋ง เล่าว่า กระทั่งปี 2546 เริ่มสังเกตเห็นว่า เกษตรกรและชาวบ้านหลายรายในพื้นที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ บางรายเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงได้สรุปว่าน่าจะเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนสะสมในร่างกาย ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่จากสถานีพัฒนาที่ดินน่าน เข้ามารณรงค์ให้ลด ละ เลิกใช้สารเคมีในการผลิตสินค้าเกษตร ผมจึงเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และได้ร่วมรณรงค์ส่งเสริมให้สมาชิกกลุ่ม รวมทั้งคนในชุมชนให้เข้าใจเรื่องลด ละ เลิก การใช้สารเคมี และชี้ให้เห็นถึงอันตรายของสารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพ พร้อมกันนี้ยังได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดชาวบ้านให้หันมาใช้สารชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ ทดแทนสารเคมีด้วย ซึ่งใช้ระยะเวลากว่า 2 ปี จึงสามารถเปลี่ยนแนวคิดได้

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนกสิกรรมไร้สารพิษบ้านก๋ง ได้ส่งเสริมสมาชิกกว่า 40 ราย ให้ปลูกพริกปลอดสารพิษป้อนตลาดโดยมีพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดประมาณ 160 ไร่ เฉลี่ยรายละ 4 ไร่ ทุกปีสมาชิกจะนำกล้าพริกอายุ 1 เดือนลงปลูกในนาข้าวที่ไถปรับพื้นที่ไว้แล้ว พริกเป็นพืชที่ดูแลง่าย ไม่ยุ่งยาก และยังใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าวโพด ในระยะแรกเมื่อปลูกลงแปลงต้องให้น้ำทุกวัน เมื่อต้นพริกโตขึ้นต้องสังเกตความชื้นของดิน ถ้าดินอุ้มน้ำดีอาจเว้นระยะการให้น้ำได้หลายวัน แต่ต้องระวังไม่ให้ดินชื้นมาก เพราะอาจเกิดโรคโคนเน่าสร้างความเสียหายได้

การใช้สารชีวภาพและปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนสารเคมี ส่งผลให้สมาชิกได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น เม็ดพริกโตขึ้น และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ยาวนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนได้ค่อนข้างมาก ปกติต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 2,500-3,500 บาท/ไร่ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับค่าน้ำมันเครื่องสูบน้ำ หลังปลูกพริก 4 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวพริกสดสีแดง ป้อนตลาดได้ โดยพ่อค้าคนกลางจะมารับซื้อถึงหน้าฟาร์ม ซึ่งราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับภาวะตลาดแต่ละช่วง พ่อค้าคนกลางจะรับซื้อผลผลิตของกลุ่มทั้งหมด เนื่องจากสินค้ามีคุณภาพ ทั้งยังมีความปลอดภัย และไร้สารพิษตกค้างปนเปื้อน หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว สมาชิกกลุ่มจะมีกำไรจากการจำหน่ายพริกสดแดงหลังฤดูทำนา เฉลี่ยรายละกว่า 100,000 บาท ซึ่งช่วงหน้าแล้งของปีที่ผ่านมา ตำบลยมมีเงินสะพัดจากการค้าพริกสดแดงหลายล้านบาท นับว่าเป็นรายได้เสริมที่คุ้มค่ากว่าการปลูกข้าวโพด...

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น เกษตรกรคงต้องงัดกลยุทธ์เด็ดขึ้นมาสร้างจุดแข็งเป็นจุดขายให้กับสินค้าของตน เอง โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพ และมาตรฐานสินค้าถือเป็นเรื่องสำคัญ และต้องไม่ลืมใส่ใจถึงเรื่องความปลอดภัยทางด้านอาหารด้วย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=345&contentID=124275