Sunday, October 30, 2011

แนะนำอาชีพ'กรอบเค็ม-โรตีกรอบ'

อีกกลุ่มขนมทานเล่นที่ขายได้ตลอด คือพวก กรอบเค็ม โรตีกรอบ หรือแม้แต่ กะหรี่ปั๊บ ปั้นขลิบ ซึ่งคนที่ทำขนมทานเล่นพวกนี้ขายแม้จะมีมาก แต่ใครมีฝีมือทำได้อร่อย ก็ยังสามารถจะเจาะสู่ตลาดจนมีลูกค้ามาก ๆ ได้ไม่ยากนัก ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จะพาไปดูกรณีศึกษาการทำอาชีพขายขนมทานเล่นเจ้าหนึ่งที่ทำขายมานานร่วม 20 ปี...

นิภา อาบทอง เจ้าของนิภากะหรี่ปั๊บและปั้นขลิบทอด เล่าว่า เมื่อก่อนมีอาชีพเป็นพนักงานขายแว่นตา และเคยเปิดโรงงานทำวงกบประตูหน้าต่าง ร้านทำมุ้งลวดเหล็กดัดมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปลี่ยนอาชีพ โดยได้คำแนะนำเรื่องขนมจากหลาน ซึ่งตนก็ไปเรียนรู้ใหม่หมด โดยแรก ๆ ขายในหมู่บ้านที่อยู่ก่อน จากนั้นก็มาขายตามตลาดนัดต่าง ๆ แต่ก็ขายไม่ค่อยดี จึงมาหาที่ขายตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งก็ได้แหล่งขายหลายที่ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก เพราะโรงพยาบาลมีคนมาก อีกทั้งยังมีคนไข้ซื้อไปฝากหมอบ้าง ฝากพยาบาลบ้าง ทำให้อาชีพขายของตนประสบความสำเร็จ

ในส่วนของ “กรอบเค็ม” และ “โรตีกรอบ” นั้น นิภาบอกว่า เป็นสินค้าที่แตกขยายเพิ่มออกมา เพราะต้องการให้ของมีความหลากหลายมากขึ้น และวิธีทำก็คล้าย ๆ กัน ซึ่งทั้งกะหรี่ปั๊บ ปั้นขลิบ กรอบเค็ม โรตีกรอบ ขายดีเท่า ๆ กันทุกอย่าง อุปกรณ์ในการทำ หลัก ๆ ก็มีเตาแก๊ส เครื่องตีแป้ง กระทะ กะละมัง ไม้นวดแป้ง มีด ฯลฯ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำอาหาร และทำขนมโดยทั่ว ๆ ไป

วิธีทำ ตามสูตรจะใช้แป้งสาลี 10 กก. น้ำตาลทราย 3-4 กก., กะทิ 1 กก., เกลือ 1 ถุง, น้ำมัน 500 กรัม นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในกะละมังตีแป้ง นำใส่เครื่องตี ตีไปประมาณ 30 นาที เสร็จแล้วนำแป้งที่ตีแล้วใส่ถุงพลาสติกมัดปากให้แน่น ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง

ทั้งแป้งกรอบเค็ม และโรตีกรอบ มีส่วนผสมของแป้งแบบเดียวกัน

วิธีปั้นแป้งกรอบเค็ม นิภาบอกว่า ให้ปั้นแป้งออกมาเป็นขนาดเท่ากำมือ รีดแป้งให้บาง

จากนั้นใช้มือคลึงให้เป็นเส้นยาว ความกว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1 เซนติเมตร แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ละ 3-5 เซนติเมตร แล้วนำไปทอดน้ำมันให้สุกกรอบ

ส่วนแป้งโรตีกรอบ ให้ปั้นแป้งเป็นก้อน ๆ ขนาดเท่ากำมือ รีดเป็นแผ่นบาง ให้เป็นขนาดสี่เหลี่ยม จากนั้นพับแป้งไปมา 3-4 ชั้น นำไปทอดให้สุกกรอบเช่นกัน

เครื่องปรุงกรอบเค็ม และโรตีกรอบ แตกต่างกันที่เครื่องปรุงที่นำลงไปผัด เครื่องปรุงผัดกรอบเค็มมีน้ำตาลปี๊บ 5 กก., พริกไทย 2 กก., น้ำมะขามเปียก 200 กรัม, ต้นหอมซอยพอประมาณ ส่วนเครื่องปรุงโรตีกรอบจะลดในส่วนของพริกไทยลงเหลือ 1.5 กก.

ผัดเครื่องปรุงทุกอย่างในกระทะ โดยใส่น้ำตาลปี๊บลงไปก่อน เคี่ยวให้ละลาย จากนั้นใส่เครื่องปรุงทุกอย่างลงไป นำแป้งกรอบเค็ม หรือโรตีกรอบ ที่ทอดเตรียมไว้ ใส่ลงไปคลุกให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพักให้เย็น แล้วจึงบรรจุใส่ถุงขาย

ราคาขาย “กรอบเค็ม” และ “โรตีกรอบ” คือขีดละ 30 บาท โดยนิภาบอกว่า จากราคาขายกรอบเค็ม และโรตีกรอบ ต่อ 10 ขีด หรือ 1 กก. 300 บาทนั้น จะมีต้นทุนประมาณ 180-200 บาท

แหล่งขายขนมของนิภา ก็มีทั้งที่โรงพยาบาลเด็ก โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลหัวเฉียว โรงพยาบาลทหารเรือ โรงพยาบาลตำรวจ ฯลฯ ใครต้องการสั่งขนม-ต้องการติดต่อ ก็ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2889-3002, 08-1847-8976 และ 08-1406-1445.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=516&contentId=172789

Saturday, October 29, 2011

แนะนำอาชีพ 'ตกแต่งหมวกสาน'

แนะนำอาชีพ เป็นงาน งานแฮนด์เมดเพิ่มมูลค่าสินค้าคืองาน 'ตกแต่งหมวกสาน'
สินค้าอย่าง ’หมวกสาน“ และกระเป๋าสาน จากวัสดุธรรมชาติ ที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไป ถ้านำมาใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ นำสินค้าพวกนี้มาตกแต่งเพิ่มเติม นอกจากจะเป็นการทำให้สินค้าดูสวยงามโดดเด่นแตกต่างไปจากผู้ขายรายอื่น ๆ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าพิจารณา...

ต่าย-วาสินี ทวีกาญจน์ นำหมวกสานและกระเป๋าสานมาตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ ดอกไม้ประดิษฐ์ ริบบิ้น โบ ลูกปัด คริสตัล ฯลฯ ก่อนจะจำหน่าย ทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มได้อย่างน่าสนใจ ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากขึ้น และมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายขึ้นด้วย

เจ้าตัวเล่าว่า จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คณะศิลปกรรม สาขาออกแบบตกแต่งภายใน หลังจากเรียนจบก็ได้ทำงานทางด้านกราฟิกและออกแบบเว็บไซต์ จากนั้นก็ทำงานเป็นดีไซเนอร์ออกแบบสินค้าประเภทของตกแต่งบ้าน ส่วนการขายหมวกสานและกระเป๋าสานนั้นก็ขายผ่านเว็บไซต์เป็นอาชีพเสริมควบคู่ กับการทำงานหลักอยู่นานแล้ว ซึ่งเป็นการทำร่วมกับญาติที่ต่างจังหวัด จนหลังจากที่บริษัทที่ทำงานอยู่เกิดวิกฤติภายใน ประกอบกับเห็นว่าธุรกิจขายหมวกสานและกระเป๋าสานผ่านเว็บไซต์เริ่มที่จะได้ รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจออกจากงานประจำมาทำธุรกิจขายหมวกสานและกระเป๋าสานผ่านเว็บไซต์ อย่างจริงจัง

“การขายผ่านเว็บไซต์ ขายผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่สูงและสะดวก แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างสำหรับผู้ที่ลงประกาศขายใหม่ ๆ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะไม่เชื่อมั่นในสินค้าที่ลงขาย กลัวว่าจะได้ของไม่ตรงตามรูปที่ลง อีกทั้งกลัวคุณภาพไม่ดี เพราะฉะนั้นการขายผ่านอินเทอร์เน็ตเราต้องทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในสินค้าของ เรา สินค้าทุกชิ้นจะต้องเนี้ยบ ไม่ส่งของที่มีตำหนิให้ลูกค้า” ต่ายกล่าว

เมื่อออกมาจับธุรกิจค้าขายเต็มตัว ต่ายก็เริ่มพัฒนาตัวสินค้าที่ขายอยู่ให้มีความโดดเด่น ไม่ซ้ำกับเจ้าอื่น ๆ เพื่อเป็นจุดขายให้สินค้า และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินค้ามากขึ้น เพราะเนื่องจากหลายคนจะมองว่าหมวกสานและกระเป๋าสาน จะต้องเป็นทรงที่โบราณไม่ทันสมัย จึงต้องมีการพัฒนาให้สินค้ามีความทันสมัย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นให้ได้ด้วย

หมวกสานและกระเป๋าสานที่จะนำมาตกแต่งนั้น ต่ายจะออกแบบรูปทรงเพื่อที่จะได้ทรงที่ดูทันสมัยเข้ากับยุค แล้วก็เลือกวัสดุที่จะนำมาใช้ทำ จากนั้นก็ส่งแบบไปให้กับญาติเป็นคนทำตามแบบที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังมีการสั่งทำจากแหล่งต่าง ๆ ที่รับทำรับสานหมวกและกระเป๋าด้วย

วัสดุที่ใช้ในการสานนั้น หลัก ๆ ก็มี ปอสังเคราะห์, ใบลาน, ไม้ไผ่, ผักตบชวา หรือถ้าเป็นหมวกผ้าก็ใช้ผ้าสักหลาด เป็นต้น ส่วนรูปทรงก็มีหลากหลาย ทั้งในส่วนของหมวกและกระเป๋า

ส่วนวัสดุที่นำมาใช้ตกแต่งหมวกนั้น ก็จะมี...ดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้า, ดอกไม้ประดิษฐ์จากพลาสติก, ผ้าลูกไม้, ริบบิ้น, ลูกปัดไม้, คริสตัล เป็นต้น

ขั้นตอนการตกแต่งหมวกสาน เริ่มเตรียมหมวกสานรูปทรงที่ต้องการ จากนั้นก็เลือกใช้ผ้าลูกไม้หรือจะใช้ริบบิ้นก็ได้ตามต้องการ แต่ที่สำคัญจะต้องเลือกสีที่เข้ากับหมวกด้วย นำผ้าลูกไม้หรือริบบิ้นมาผูกให้เป็นโบ ใช้ปืนกาวซิลิโคลนยิงยึดติดให้แน่น ตกแต่งโบให้ดูสวยงามมากขึ้นโดยใช้คริสตัลหรือลูกปัดมาติดให้ดูสวยงามตามต้อง การหรือตามที่ออกแบบไว้ เมื่อทำในส่วนของโบเรียบร้อยแล้วก็นำดอกไม้ประดิษฐ์มาติดลงบนโบที่ทำ ยึดให้แน่นด้วยกาวซิลิโคลน ขั้นตอนสุดท้ายก็นำไปติดลงบนหมวกที่เตรียมไว้ เท่านี้ก็เรียบร้อย

ถ้าเป็นการทำกระเป๋านั้น ก็ใช้วิธีการตกแต่งคล้ายกับการตกแต่งหมวก แต่กระเป๋าจะมีเทคนิคการตกแต่งอีกแบบหนึ่งที่ทำให้ดูสวยงามทันสมัย คือการใช้เทคนิค “เดคูพาจ” เป็นลักษณะกระดาษทิซชูที่มีภาพวาดลวดลายสีสันที่สวยงาม นำมาติดลงบนกระเป๋าสานให้ดูเก๋และดูสวยงามทันสมัยมากขึ้น

ราคา ’หมวกสานตกแต่ง“ นั้น อยู่ที่ใบละ 250-350 บาท ส่วนกระเป๋าสานมีราคาตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป โดยราคานั้นก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้ในการทำ

“การทำหมวกสานและกระเป๋าสานประดิษฐ์ตกแต่งขาย ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 2,000-3,000 บาท เป็นการลงทุนที่ไม่สูงมาก ลักษณะเป็นเงินหมุนเวียน และทุนในการผลิตก็อยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาที่ตั้งขายต่อ การทำธุรกิจนี้จะต้องพยายามสำรวจความนิยมและตามแฟชั่นให้ทันอยู่ตลอด” ต่ายกล่าว

ทั้งนี้ สินค้าที่ต่ายทำจำหน่ายในเว็บไซต์มีหลากหลาย อาทิ หมวกสานทรงต่าง ๆ ทรงปีกกว้าง ทรงคาวบอย หมวกสานคุณนาย หมวกสานแฟชั่น กระเป๋าสาน กระเป๋าสะพายเชือกถัก กระเป๋าผ้าลดโลกร้อน เป็นต้น

สินค้าของต่ายนั้นสามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.saraaccessory. com จะสั่งออร์เดอร์ก็สั่งผ่านเว็บไซต์ หรือทางอีเมล taikatae@hotmail.com หรือติดต่อที่ โทร. 08-4878-7744 และปัจจุบันต่ายยังมีจุดขายสินค้าอยู่ที่ คริสตัลปาร์ค (ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา) ในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=172703

Sunday, October 23, 2011

แนะนำอาชีพ 'ชีสพายปทุมบงกช'

แนะนำอาชีพ เกี่ยวกับ'บัว'เป็นพืชที่มีประโยชน์และมีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย ทุกส่วนของบัวล้วนแต่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเมล็ด, เกสร, กลีบดอก, สายบัว ฯลฯ โดยส่วนมากคนไทยจะนิยมนำบัวมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน และก็มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งคิดค้นเมนูขนมหวานจากบัว ใช้ชื่อว่า “ชีสพายปทุมบงกช” ซึ่งก็น่าสนใจ...

หมี-นายบุญมี สงวนทอง, นุ่น-นางสาวกนกวรรณ ตระการพงษ์ และจิ๊บ-นางสาวศิริวรรณ อักษรพาลี นักศึกษาปีที่ 1 สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ร่วมกันคิดค้นเมนู “ชีสพายปทุมบงกช” ขึ้นมา โดยทั้งสามเล่าว่า การคิดค้นเมนูนี้ขึ้นก็เพราะต้องการดัดแปลงบัวให้ไปอยู่ในจานอาหารของชาติ ตะวันตก เพื่อเพิ่มมูลค่าของบัวสู่ระดับสากล ทั้งนี้ ขนมชีสพายปทุมบงกชเป็นเมนูทานเล่นที่ทำง่าย สามารถทำกันภายในครอบครัวได้ โดยมีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก และหาซื้อวัตถุดิบได้ตามท้องตลาดทั่วไป

“ชีสพายปทุมบงกช จะให้ความรู้สึกของความกรุบกรอบ ความนุ่มเนียน และกลิ่นหอมชวนรับประทาน มีรสชาติครบถ้วนทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ลงตัวกันอย่างพอดิบพอดี เป็นขนมที่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม ที่สำคัญคือส่วนของบัวที่นำมาใช้ในการประกอบเมนูนี้จะเน้นไปที่สรรพคุณ อาทิ ในส่วนของเมล็ดบัว เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, เกสรบัว ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ยาหอม ยาลม ยาขับปัสสาวะ และรากบัว จะแก้ร้อนใน ระงับอาการท้องร่วง”

อุปกรณ์ที่ใช้ทำชีสพายปทุมบงกช ก็เป็นอุปกรณ์สำหรับการทำเบเกอรี่ทั่วไป อาทิ เครื่องตี, หม้อ, ฟอยล์, พิมพ์ขนม, ช้อน, ถ้วยตวง, ถาด, แปรง, ตะแกรง และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่สามารถหาได้จากในครัว เรือน

การทำชีสพายปทุมบงกช แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนคือ ครีมชีส ส่วนผสมก็มี ครีมชีส 1 ก้อน, ครีมข้น 1 กระป๋อง, นมข้นหวาน 1/4 กระป๋อง (98 กรัม), นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ, เจลาตินผง 1 ช้อนโต๊ะ (ละลายน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ), น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ และเกสรดอกบัว 20 กรัม วิธีทำในส่วนของครีมชีส เริ่มจากนำครีมชีสใส่ภาชนะ แล้วใช้เครื่องตีปากตระกร้อตีให้เนียน ใส่ครีมข้นลงไป ตามด้วยนมข้นหวาน นมข้นจืด และเจลาติน ตีต่อไปจนเนียนฟู ตั้งพักไว้

ขั้นตอนการทำชีสพายปทุมบงกช เม็ดบัวบด ส่วนผสมก็มี เม็ดบัว 250 กรัม, นมสด 20 กรัม, เกลือ 1/2 ช้อนชา, น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำคือ นำส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันแล้วบดให้ละเอียด ต่อไปทำ ซอสรากบัว ส่วนผสมก็มี น้ำทับทิม 1 ถ้วยตวง, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ, รากบัวเชื่อม 100 กรัม และเกลือนิดหน่อย วิธีทำคือนำรากบัวกับน้ำทับทิมมาปั่นรวมกันให้ละเอียด ตั้งไฟพอเดือด ปรุงด้วยเครื่องปรุงที่เหลือ ตั้งพักไว้

และอีกส่วนคือขั้นตอนการทำ พาย ใช้แครกเกอร์บดละเอียด 2 ห่อ, เนยละลาย 250 กรัม, เม็ดบัวบดละเอียด 100 กรัม วิธีทำก็นำทุกอย่างผสมกัน ทำการอัดลงในพิมพ์ โรยหน้าด้วยเม็ดบัว แช่เย็นทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ก็พร้อมใช้

เมื่อเตรียมส่วนผสมครบทั้ง 4 ส่วน 4 ขั้นตอนแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำเป็น “ชีสพายปทุมบงกช”
โดยเริ่มจาก นำพายที่แช่เย็นได้ที่มาหยอดด้วยครีมชีส ใส่ลงไปประมาณ 3/4 ของถ้วย แล้วนำเข้าแช่เย็นต่ออีกประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงนำมาราดด้วยซอสรากบัว แล้วตกแต่งด้วยเม็ดบัวบด ใบสะระแหน่ และรากบัวเชื่อม ก็เป็นอันเสร็จ

จากสูตรที่ว่ามาข้างต้นจะสามารถทำ “ชีสพายปทุมบงกช” ได้ประมาณ 23 ชิ้น มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 350 บาท โดยสามารถตั้งราคาขายที่ชิ้นละ 20 บาท ขายหมดก็จะมีรายได้ก่อนหักต้นทุน 460 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจจะนำสูตร “ชีสพายปทุมบงกช” ไปต่อยอดทำเป็น “ช่องทางทำกิน” ก็เชิญได้เลย เจ้าของไอเดียไม่สงวนลิขสิทธิ์ ซึ่งก็ขอตบมือให้กับไอเดียเจ๋ง ๆ ของน้อง ๆ ทั้ง 3 คน กับเมนูชีสพายปทุมบงกชที่น่าจะมีการต่อยอดจริงจัง ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี โทร. 0-2549-3160.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=171424

Friday, October 21, 2011

แนะนำอาชีพ''กระเป๋าเดคูพาจ''

การสร้างมูลค่าเพิ่มถือเป็นเรื่องสำคัญของคนที่มีอาชีพประดิษฐ์งานฝีมือ-งาน หัตถกรรม บางครั้ง การเพิ่มรายละเอียดจากเทคนิคเดิม ๆ ก็สามารถนำมาใช้เป็นจุดขายได้อย่างดี อย่างเช่นงานผสมผสานระหว่างกระเป๋าจักสาน ที่นำงานเดโคพาจ หรือเดคูพาจ มาประยุกต์ นี่ก็น่าพิจารณา ซึ่งวันนี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีข้อมูลมานำเสนอ.กระเป๋าเดคูพาจ..

ทางกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าแม่บ้าน กรมปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (ปตอ.1) โดย พิมพ์พร สุริยกาญจน์ ตัวแทนของกลุ่ม เล่าว่า ได้รวมตัวกันเพื่อผลิตชิ้นงานมาหลายปีแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจาก พ.อ.(พิเศษ) วิรัตน์ นาคจู ผู้บังคับการกรม เพื่อให้ครอบครัวของทหารที่ประจำการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการสร้างรายได้เสริมด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ทางกลุ่มรวมตัวกันผลิตนั้น มีหลากหลายชนิด ตั้งแต่การประดิษฐ์ของใช้-ของที่ระลึกจากวัสดุเหลือใช้, งานรีไซเคิล, งานดอกไม้ประดิษฐ์ เชิงเทียน, งานปั้นจากเศษขี้เลื่อย รวมถึง งานเดคูพาจบนกระเป๋าจักสาน ซึ่งผลิตภัณฑ์อย่างหลังนี้เป็นงานสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยนำงานศิลปะมาประยุกต์ใช้ทำกระเป๋าเดคูพาจ

หลายคนที่ไม่รู้จักงานเดคูพาจ ต้องอธิบายว่า คือศิลปะตกแต่งพื้นผิวด้วยกระดาษ รูปภาพ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่สวยงาม ตกแต่งลงบนพื้นผิวของวัสดุประเภทต่าง ๆ เพื่อสร้างลวดลาย เพิ่มความแปลกตา โดยการนำมาฉีกหรือตัดแปะโดยสามารถทำร่วมกับการใช้เทคนิคอื่น ๆ ประกอบในชิ้นงาน ซึ่งงานเดคูพาจนี้กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนทำงานฝีมือ เนื่องจากลงทุนน้อย วัสดุอุปกรณ์มีไม่มาก ขั้นตอนการทำไม่ยาก และยังสามารถพลิกแพลงต่อยอดได้ตลอดเวลา จึงสามารถทำได้ทั้งเป็นงานอดิเรกและเป็นอาชีพ

พิมพ์พรเล่าว่า ทางกลุ่มได้รวมตัวกันประดิษฐ์งานเดคูพาจลงบนวัสดุต่าง ๆ 3-4 เดือนแล้ว สินค้าที่ทำขึ้นมีตั้งแต่กล่องใส่กระดาษชำระ, กระเป๋าถือสำหรับสตรี, กระจาดและถาดใส่สิ่งของหรือผลไม้ ซึ่งเรียกได้ว่าช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมหนีไม่พ้นงานเดคูพาจบนกระเป๋าจักสาน ที่มีทั้งกระเป๋าสานพลาสติกและวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ และผักตบชวา

“ตอนนี้สินค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นงานออร์เดอร์ที่มีลูกค้ามาสั่งทำ โดยจะกำหนดแบบหรือลวดลายที่ต้องการมาในระดับหนึ่ง ที่เหลือก็จะเป็นลูกค้าทั่วไป ลายที่นิยมส่วนใหญ่ก็จะเป็นลายดอกไม้ ดอกกุหลาบ เป็นต้น” ตัวแทนกลุ่มกล่าว

ทุนกระเป๋าเดคูพาจเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000 บาท ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย โดยเรื่องรายได้ สินค้ามีราคาจำหน่ายชิ้นละ 250 บาท จนถึง 1,000 บาท ในการทำ วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ประกอบด้วย กระเป๋าจักสาน, กระดาษเดคูพาจ หรือรูปภาพที่ต้องการ, สีอะคริลิกขาว ใช้รองพื้น, กาวเดคูพาจ, กรรไกร, คัตเตอร์ , น้ำยาเคลือบ, พู่กันหรือแปรง โดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งจำหน่ายงานเดคูพาจหรือร้าน อุปกรณ์ทำการฝีมือทั่วไป

ขั้นตอนการทำกระเป๋าเดคูพาจ เริ่มจากนำกระเป๋าจักสานที่เตรียมไว้มาทาบลงบนกระดาษหรือรูปลวดลายที่ต้อง การทำ จากนั้นใช้ดินสอวาดโครงร่าง ทำการตัดตามรอยดินสอที่ขีดไว้ โดยอาจตัดให้เหลือขอบเผื่อไว้นิดหนึ่ง หากเกินไปมากก็ค่อยใช้กรรไกรเล็มเก็บทีหลังได้ เมื่อได้กระดาษที่จะใช้ทำเป็นลวดลายแล้ว ก็ให้นำกระเป๋าจักสานมาทากาวเดคูพาจด้วยแปรงหรือพู่กัน รอให้กาวเกือบแห้งสนิทจึงนำกระดาษลวดลายที่เตรียมไว้แปะลงบนพื้นผิววัสดุตาม ที่ได้ออกแบบไว้ โดยต้องระวังอย่าให้เกิดรอยย่นหรือฟองอากาศ ขั้นตอนนี้ไม่ซับซ้อนแต่ต้องอาศัยความใจเย็นและความประณีตพอสมควร

เมื่อแปะกระดาษลวดลายครบแล้ว ให้นำฟองน้ำชุบน้ำมาปาดให้ทั่วบริเวณ จากนั้นทิ้งไว้รอให้แห้งสนิท นำพู่กันหรือแปรงจุ่มน้ำยาเคลือบ ทาเคลือบบนกระดาษลวดลายอีกชั้นจนทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำกระเป๋าเดคูพาจ

“งานเดคูพาจเหมาะสำหรับคนที่มองหางานเสริม มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ลงทุนไม่มาก แต่ต้องใช้ความใจเย็น อดทน เพราะงานกระเป๋าเดคูพาจจะดูสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับความประณีตของชิ้นงานเป็นสำคัญ” ตัวแทนกลุ่มกล่าว

ใครสนใจติดต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าแม่บ้าน ปตอ.1 ถนนแจ้งวัฒนะ ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6062-2656, 08-5115-2205 ตัวแทนกลุ่มฝากบอกมาว่าร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์อยู่ภายในกรมปืนใหญ่ต่อสู้ อากาศยาน ผู้ที่สนใจแวะเวียนเข้าไปชมสินค้าได้ สามารถเลี้ยวรถเข้าไปจอดได้ถึงหน้าร้านโดยไม่ต้องแลกบัตร ไปไม่ถูกสอบถามได้ตามเบอร์โทรฯ ข้างต้น

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=171162

Friday, October 14, 2011

แนะนำอาชีพ ''สวนในหลอดไฟ''

ช่องทางทำกิน“ วันนี้ทางทีมงานมีอีกหนึ่งงานไอเดียความคิดสร้างสรรค์ สร้างสรรค์งานออกมาสู่ตลาด โดยสร้างความแตกต่างดึงดูดลูกค้า ซึ่งช่วยสร้างยอดขายได้อย่างดี นั่นคืองาน ’สวนในหลอดไฟ“ ที่เป็นไอเดียต่อยอดจากการจัดสวนขวด เปลี่ยนรูปแบบมาจัดในหลอดไฟ จนเกิดเป็นชิ้นงานที่แปลกใหม่ขึ้นมา...

“นภดล รอดสิน” ซึ่งสร้างสรรค์งานดังกล่าวนี้ เล่าว่า หลังจากที่เรียนจบก็เริ่มทำงานกัดลายกระจกขายก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เริ่มมีความคิดอยากจะกัดลายลงบนขวดดูบ้างเพราะเห็นว่าขวดนั้นมีรูป ทรงที่หลากหลายและสวยงาม ก็เริ่มไปเดินหาซื้อขวดสวย ๆ จนได้ไปเห็นงานจัดสวนขวด เห็นว่าสวยดี ก็เริ่มชอบความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ในขวด

พอเริ่มหลงใหลในการจัดสวนขวด นภดลก็เริ่มเรียนรู้วิธีการทำโดยค้นหาที่เรียนจากอินเทอร์เน็ต จนได้ไปเรียนรู้วิธีทำ ใช้เวลาเรียนอยู่ 1 วัน เป็นการเรียนรู้วิธีการนำต้นไม้ใส่ลงไปในขวดเท่านั้น ส่วนเรื่องการจัดตกแต่งนั้นต้องมาเรียนรู้ฝึกหัดทำเอง จนสามารถทำออกจำหน่ายผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ได้รับความการตอบรับเป็นอย่างดี

หลังจากที่ทำงานจัดสวนในขวดอยู่ระยะหนึ่ง ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมก็เชิญไปเป็นวิทยากรสอนการทำสวนขวดให้กับผู้ที่ สนใจ ก็มีผู้ที่สนใจเรียนไม่น้อยเลย โดยตอนนั้นก็เริ่มเปิดหน้าร้านที่สวนจตุจักรด้วย โดยนำผลงานที่ทำไว้มาวางขาย นอกจากนั้นก็ยังเอางานของเด็ก ๆ ไปวางขายด้วย แต่เปิดร้านอยู่ได้ประมาณ 1 ปีก็ปิดร้านไป

“ที่ต้องปิดร้านเกิดจากขวดที่เป็นวัตถุดิบหลักเริ่มหายากขึ้น ที่สำคัญงานของนักเรียนที่นำมาวางขายยังไม่ค่อยได้คุณภาพ ต้นไม้ตายง่าย ทำให้ลูกค้าเริ่มลดลง งานสวนขวดจึงเริ่มได้รับการตอบรับน้อยลง จึงตัดสินใจปิดร้าน แต่ผมก็ยังคงผลิตงานออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่ขายทางอินเทอร์เน็ตแบบเดิม”

หลังจากผลิตงานสวนขวดอยู่อีกระยะหนึ่ง นภดลก็เกิดไอเดียต่อยอดจากที่ได้เห็นงานที่นำหลอดไฟมาทำเป็นตะเกียงใน เว็บไซต์ต่างประเทศ หลังจากได้เห็นการนำหลอดไฟมาทำเป็นชิ้นงาน ก็เกิดความคิดว่าน่าจะทำเป็นสวนในหลอดไฟได้ ก็เริ่มลงมือทดลองทำ ใช้ระยะเวลาลองผิดลองถูกอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งหลอดไฟนั้นมีความบางกว่าขวดมาก ทำให้รับอุณหภูมิความร้อนได้มากกว่าขวด ทำให้เกิดความชื้นน้อย ต้องหาพันธุ์ไม้ที่สามารถอยู่ได้ ไม่ตายง่าย จากการทดลองทำก็ได้ 2 ชนิดคือ พรหมออสเตรเลีย และพวกเฟิร์นทั่วไป ซึ่งก็พยายามทดลองหาพืชที่มีความสวยงามอื่น ๆ มาทดลองทำไปเรื่อย ๆ อีก และนอกจากจะใช้ต้นไม้จริงแล้วก็ยังมีต้นไม้ปลอมด้วย สำหรับคนที่ชอบความสวยงามแต่ไม่มีเวลาดูแล

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานลักษณะนี้ หลัก ๆ มีดังนี้คือ... หลอดไฟ ขนาด 200 วัตต์, หินชั้น, หินกรวด, ขุยมะพร้าว, ดิน, คัตเตอร์, ไขควง, กาว นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง พวกลวดที่ปลายมัดหุ้มด้วยผ้า และตะเกียบที่ดัดแปลงไว้ทำการเขี่ยตกแต่งภายในหลอดไฟ เป็นต้น

“ที่ต้องใช้หลอดไฟขนาด 200 วัตต์ ก็เพราะเป็นหลอดไฟที่มีขนาดเหมาะที่สุดในการนำมาทำ เพราะเวลาจัดสวนจะได้องค์ประกอบที่เยอะ ส่วนขุยมะพร้าวและดินนั้นจะต้องร่อนด้วยตะแกรงให้ละเอียดก่อนที่จะนำมาใช้ และเนื่องจากหลอดไฟนั้นบางกว่าขวด และปากก็เล็กว่าขวดมาก ในการทำจะต้องใช้ความประณีตและความพยายามสูง” นภดลกล่าว

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำหลอดไฟที่ต้องการใช้มาทำการตัดเอาหัวออกและตัดไส้หลอดออกก่อน โดยใช้คัตเตอร์ทำการตัดด้านบนของขั้วหลอดออก แล้วก็ใช้ไขควงทิ่มลงไปกระแทกให้ไส้หลอดข้างในขาดหลุด จากนั้นก็ค่อย ๆ นำเศษไส้หลอดออกมาจนหมด แล้วก็นำหลอดไฟไปล้างทำความสะอาดด้วยน้ำ ล้างให้สะอาดแล้วนำมาเช็ดให้แห้ง ด้านในก็ใช้อุปกรณ์พิเศษอย่างลวดพันปลายด้วยผ้าสอดเข้าไปเช็ดให้แห้ง

เมื่อได้หลอดไฟมาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการจัดสวนในหลอดไฟ เริ่มจากนำขุยมะพร้าวใส่ลงไปเป็นการรองพื้นก่อน ไว้สำหรับเป็นตัวอุ้มความชื้น ใส่พอประมาณ จากนั้นก็ใส่ดินลงไป การใส่ดินนั้นไม่ต้องเกลี่ยให้เป็นพื้นเรียบ แต่ควรต้องทำให้เป็นเนินเอียงไปข้างใด
ข้างหนึ่ง

ขั้นต่อไปก็ทุบหินชั้นให้ได้ก้อนขนาดที่ใส่ลงไปในปากหลอดไฟได้ จะใส่ลงไปมากหรือน้อยก็ตามแต่การออกแบบ พยายามจัดวางให้หินชั้นวางซ้อนทับกันเพื่อความสวยงาม และเพื่อให้หินไม่ขยับเลื่อนออกจากกันก็ใช้กาวเป็นตัวยึดติด หลังจากจัดวางหินชั้นตามที่ต้องการแล้ว ก็ใส่หินกรวดลงไปฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งที่เป็นดินก็ให้นำมอสมาวางปูให้เต็มพื้นที่

จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการลงต้นไม้ โดยใช้ตะเกียบกดลงไปและขุดรูตรงจุดที่จะลงต้นไม้ตามแบบที่ออกไว้ เมื่อขุดรูเรียบร้อยก็นำต้นไม้ที่ต้องการใส่ลงไป ใช้ตะเกียบเขี่ยดินกลบให้แน่น ถ้าเป็นต้นไม้จริงเวลาใส่ลงไปต้องระมัดระวังไม่ทำให้ต้นไม้ช้ำมาก และเวลาจัดวางก็ไม่ควรให้ใบไม้ติดกับผิวหลอดไฟ เพราะจะทำให้ต้นไม้เน่าตายได้ง่าย

“การจัดสวนในหลอดไฟ เมื่อจัดเสร็จใช่ว่าจะเสร็จ เพราะก่อนที่จะส่งให้ลูกค้าเราจะต้องตรวจคุณภาพของต้นไม้ โดยดูแลต้นไม้ให้ตั้งตัวได้ก่อน ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าต้นไม้จะไม่ตาย” นภดลกล่าว ซึ่ง ’สวนในหลอดไฟ“ ของเขา อยู่ที่ร้านสยาม อาร์ต ช็อป ราคาขายอยู่ที่ 299 บาทต่อชิ้น และก็ยังคงทำสวนในขวดจำหน่ายด้วย...

ใครสนใจ ’สวนในหลอดไฟ“ งานไอเดียเก๋ ๆ เข้าไปดูได้ที่ www.siamshop.com/3454b9nt0i6128a หรือ www.facebook/gardenlamp ต้องการติดต่อสอบถามจากนภดล ก็โทรศัพท์ไปได้ที่ โทร. 08-6336-9306.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=169650