Saturday, November 26, 2011

แนะนำอาชีพ ‘เดคูพาจ’

แนะนำอาชีพ ‘เดคูพาจ’งานผนึกรูปบนพื้นผิววัตถุ-วัสดุ หรือ “เดคูพาจ” ซึ่งได้รับความนิยมในไทยมาได้ระยะหนึ่ง จนวันนี้ก็ยังสามารถสร้างงาน-สร้างเงินได้อยู่ และก็สามารถพลิกแพลงทำเงินได้จากหลากหลายวัสดุ โดยวันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำกินในลักษณะนี้มาบอกต่อกันอีกรูปแบบหนึ่ง โดยรูปแบบนี้ก็มีกระดาษ “ทิซชู” เป็นองค์ประกอบสำคัญ...

ผึ้ง-ปวีณา เอิบโชคชัย วัย 24 ปี วิทยากรประจำบีเบลล์แอนด์ลามอนเทจช็อป เป็นอีกหนึ่งผู้สันทัดกรณีงานผนึกกระดาษทิซชูลงบนซองใส่โทรศัพท์มือถือ หรือ แนพกิ้นเดคูพาจ โดยสร้างลายลงกระดาษทิซชูเอง เจ้าตัวเล่าว่า สนใจงานศิลปะมาตั้งแต่หลังเรียนจบ และหาที่เรียนวิชาด้านนี้ยามว่าง ก็เห็นว่าลายกระดาษทิซชูที่ใช้ทำงานแบบนี้นั้นส่วนมากจะเป็นลายกระดาษที่นำ เข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก จึงอยากจะสร้างลายกระดาษทิซชูเอง ด้วยความที่เรียนจบมาทางด้านวารสาร ศาสตร์ และทำงานด้านนิตยสาร จึงพอจะมีความรู้เกี่ยวกับการพรินต์ภาพด้วยคอมพิวเตอร์ จึงทดลองพิมพ์รูปบนกระดาษทิซชูดู แล้วใช้เทคนิคเดคูพาจผนึกบน ซองพลาสติกพีวีซีใส่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็ได้ผลดี จึงทดลองทำออกขาย จนทุกวันนี้บอกได้ว่ารู้สึกสนุกกับการประดิษฐ์และการสอนเทคนิคนี้ และหันมายึดเป็นอาชีพหลักไปแล้ว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแนพกิ้นเดคูพาจ หลัก ๆ ก็มี พรินเตอร์สี (ใช้หมึกกันน้ำ) ราคาประมาณ 2,500 บาท, เตารีด, ไดร์เป่าผม, กรรไกรเล็ก, ฟองน้ำ, พู่กันเล็ก, แปรงทากาวทาเคลือบ ส่วนวัสดุก็มี กระดาษทิซชูสีขาว ขนาด 6x8 นิ้ว 1 แผ่น, กระดาษขนาด A4, กระดาษกาว, กาวเดคูพาจ, น้ำยาเคลือบเดคูพาจ และซองพลาสติกพีวีซีสีขาว ขนาด 3.5x6 นิ้ว หรือวัสดุอื่น ๆ ตามแต่ต้องการจะทำ

วิธีทำเดคูพาจ สร้างลายกระดาษทิซชูโดยการใช้ไฟล์รูปจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจเป็นรูปที่ตนเองชอบ ดาราคนโปรด รูปเพื่อน ฯลฯ วางไฟล์ภาพลงโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด โดยแปะภาพลงบนกึ่งกลางของหน้า ปรับรูปให้ได้ขนาด 3.5x6 นิ้ว จากนั้นรีดทิซชูให้เรียบด้วยเตารีด โดยใช้ไฟปานกลาง ถ้าไม่รีดให้เรียบเวลาที่พรินต์ออกมาลายกระดาษจะย่น แต่ก็อย่ารีดจนไหม้หรือเหลืองเด็ดขาด รีดทิซชูแล้วก็วางกระดาษทิซชูลงบนกระดาษ A4 แปะขอบด้วยกระดาษกาว

จากนั้นใส่เข้าเครื่องพรินเตอร์ พรินต์รูปออกมา เท่านี้ก็พร้อมใช้งาน ซึ่งซองพีวีซี 1 ซองจะใช้ลายกระดาษทิซชู 2 ชิ้น การทำก็ทากาวเดคูพาจ ลงบนซองพลาสติกพีวีซีให้ทั่ว โดยทำทีละด้าน เสร็จแล้วเป่าให้กาวแห้ง แปะกระดาษทิซชูลงบนซองด้านใดด้านหนึ่ง ใช้ฟองน้ำชุบน้ำพอหมาดกดฟองน้ำตรงกึ่งกลางกระดาษเพื่อให้กระดาษทิซชูติดกับ ซองพีวีซี จากนั้นไล่กดจากบริเวณตรงกลางขึ้นไปด้านบนและด้านล่างของซอง เสร็จแล้วใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้ง ถ้าเป่ากาวไม่แห้ง เมื่อนำไปทาน้ำยาเคลือบ กระดาษทิซชูจะเหลืองได้ เก็บริมซองโดยการใช้กรรไกรตัดให้เหลือขอบเล็กน้อย ใช้พู่กันเล็กทากาวเดคูพาจเก็บขอบให้เรียบร้อย จากนั้นจึงทำอีกด้านหนึ่งของซองด้วยวิธีการเดียวกัน

เสร็จแล้วก็เคลือบลายกระดาษทิซชูด้วยน้ำยาเคลือบเดคูพาจ โดยการทารอบแรกให้ทาน้ำยาบาง ๆ เป่าให้แห้ง จากนั้นจึงทาน้ำยาเคลือบอีกรอบ โดยทาน้ำยาให้มากขึ้นอีกหน่อย เป่าให้แห้ง บรรจุใส่กล่องหรือซอง เท่านี้ก็เสร็จขั้นตอน

งานสำเร็จรูปเดคูพาจลักษณะนี้ สามารถตั้งราคาขายในราคาชิ้นละ 199-250 บาท โดยต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 100 บาท

งานผนึกกระดาษทิซชูบนพื้นผิววัตถุหรือ แนพกิ้นเดคูพาจนี้ นอกจากซองพลาสติกพีวีซีสำหรับใส่โทรศัพท์มือถือแล้ว ยังสามารถทำได้กับของใช้หลากหลาย อาทิ กระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ เครื่องสาน แก้ว ผ้า สังกะสี ฯลฯ เพื่อตกแต่งให้ดูสวยงาม และเพิ่มมูลค่าสิ่งของด้วยลวดลาย ซึ่งเราสามารถจะทำลวดลายบนกระดาษทิซชูได้เอง

ใครสนใจงาน แนพกิ้นเดคูพาจ และวิธีการสร้างลวดลายกระดาษทิซชูด้วยตัวเอง ก็ลองไปฝึกฝนทำกันดู ส่วนถ้าใครต้องการติดต่อ ผึ้ง-ปวีณา เอิบโชคชัย ก็ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-4426-2424 หรือเข้าไปดูผลงานของเธอได้ที่ www.facebook.com/ilovebebelleshop ซึ่งงานเดคูพาจนั้น ถึงวันนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งงานอาร์ต ๆ ที่น่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=178116

แนะนำอาชีพ ‘ขนมฝรั่งกุฎีจีน’

แนะนำอาชีพ ‘ขนมฝรั่งกุฎีจีน’เป็นของว่างทานเล่น ซึ่งเข้ามาในไทยโดยชาวตะวันตกที่มาอยู่ที่ริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี เป็นขนมที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีการทำสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ ปัจจุบันขนมกุฎีจีนยังมีการทำอยู่ที่ชุมชนกุฎีจีน เอกลักษณ์ของขนมชนิดนี้อยู่ที่เป็นขนมลูกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง ตัวขนมเป็นตำรับแบบโปรตุเกส ขณะที่หน้าขนมเป็นแบบจีน โรยด้วยฟักเชื่อม ลูกพลับอบแห้ง ลูกเกด ซึ่งชาวจีนเชื่อว่ารับประทานแล้วจะร่มเย็น แถมมีคุณค่าทางอาหาร ส่วนน้ำตาลทรายทานแล้วจะมั่งคั่งไม่รู้จบเหมือนน้ำตาลที่นับเม็ดได้ไม่ถ้วน วันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” นำเรื่องราวการทำขนมอบโบราณที่ตกทอดภูมิปัญญามากว่า 200 ปี มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

โป้ง-ภาคภูมิ สุจิตจูล ซึ่งสืบทอดการทำขนมฝรั่งกุฎีจีนเป็นรุ่นที่ 5 เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมขนมฝรั่งกุฎีจีนไม่ได้ทำเพื่อค้าขายทั่วไป จะทำกันเฉพาะตอนมีงาน สำหรับใช้รับประทานกับน้ำชากาแฟระหว่างที่คนมาเข้าโบสถ์ในวันคริสต์มาสหรือ วันเทศกาลต่าง ๆ ทำแจกในช่วงเทศกาล แต่เมื่อมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ก็เลยต้องทำเพื่อค้าขาย และจากอันเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายขนมไข่ ก็มีการพัฒนาปรับให้เข้ากับความต้องการของคนกิน ด้วยการแต่งหน้าด้วยผลไม้อบแห้ง

“การทำขนมฝรั่งกุฎีจีน ต้องอาศัยความชำนาญและความเอาใจใส่เป็นพิเศษ แม้แต่เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ก็ยังเป็นของเก่าดั้งเดิม บางส่วนที่ชำรุดก็นำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้เพื่อความสะดวก อย่างเตาอบที่ใช้ก็เป็นแบบโบราณ ต้องอาศัยความชำนาญในการควบคุมความร้อน หน้าตาขนมจะกระเดียดทางขนมเค้ก แต่ด้วยสูตรพิเศษที่สืบทอดมาแต่โบราณ จะใช้เพียงไข่ แป้งสาลี และน้ำตาลทรายเท่านั้น จะไม่มีส่วนผสมของเนย นม ยีสต์ ผงฟู สารกันบูด เมื่อผ่านการอบด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะ จะได้ขนมที่ออกมากรอบนอก นุ่มแน่นในพอดิบพอดี”

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำหลัก ๆ ก็มี เครื่องตีไข่, เตาอบขนมประดิษฐ์เอง, กรรไกร, อ่างผสม, ไม้พาย ทั้งแบบเป็นไม้และพลาสติก, พิมพ์ทองเหลืองทำเอง, กระด้ง, คีมสำหรับคีบ, กะละมัง, ทัพพี, ไม้ปั่นน้ำมันทำเอง, ตั่งเคาะขนม

ส่วนผสมหลัก ๆ มีเพียง 3 อย่างเท่านั้นคือ แป้งสาลี ไข่เป็ด และน้ำตาลทราย

ขั้นตอนการทำ “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” เริ่มจากการนำแป้งสาลีมาทำการร่อน 3 ครั้ง เพื่อให้แป้งเบาตัว พักเตรียมไว้ในภาชนะ จากนั้นนำไข่เป็ดที่เตรียมไว้มาตอกใส่กะละมัง แล้วจึงเทลงไปในอ่างผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย ใช้เครื่องตีไข่ตีจนขึ้นฟูเป็นครีมสีขาวเนียนละเอียดหรือจนฟองตั้งยอดอ่อน

เมื่อตีไข่กับน้ำตาลได้ที่ดีแล้ว ก็เทใส่ภาชนะปากกว้าง นำแป้งสาลีที่เตรียมไว้ค่อย ๆ ผสมลงไปทีละน้อย แล้วคนให้เข้ากัน ค่อย ๆ ใส่แป้งลงไปทีละน้อย ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดแป้ง การทำเช่นนี้จะทำให้เนื้อแป้งไม่แน่นเกินไป

ใส่แป้งหมดแล้วก็ตั้งทิ้งไว้สักครู่ ระหว่างนั้นก็ทำการเตรียมผลไม้ที่ใช้โรยหน้า ใช้กรรไกรตัดฟักเชื่อม ลูกเกด และลูกพลับอบแห้ง เป็นชิ้นเล็ก ๆ เสร็จแล้วก็วอร์มเตาอบให้ร้อน ก่อนจะนำพิมพ์ขนมที่เตรียมไว้วางเรียงให้เต็ม แล้วใช้ไม้ปั่นน้ำมันพืชลงในพิมพ์ให้ทั่ว พอพิมพ์ขนมร้อน ก็ทำการหยอดแป้งที่พักไว้ให้เต็มเบ้าพิมพ์พอแป้งตึงให้รีบโรยหน้าด้วยผลไม้ อบแห้งที่เตรียมไว้ ตบท้ายด้วยการโรยน้ำตาลทรายบาง ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะหากช้าผลไม้อบแห้งและน้ำตาลจะจมลงไปในแป้ง ไม่จับหน้าขนม เสร็จแล้วทำการอบขนมประมาณ 15 นาที จึงนำออกมาเคาะขนมออกจากพิมพ์ ตั้งพักไว้ให้คลายร้อน ก่อนจะบรรจุใส่ถุงขายได้เลย

เอกลักษณ์ของขนมฝรั่งกุฎีจีนคือข้างนอกผิวจะสีน้ำตาลเกรียมน่ารับประทาน กลิ่นหอม กรอบนอก เนื้อในฟูนุ่มอร่อยลิ้น สามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์

ราคาขายขนมกุฎีจีน มี 2 ขนาด คือชุดชิ้นใหญ่-ชิ้นเล็ก ชุดชิ้นเล็กมี 4 ชิ้น ราคาถุงละ 35 บาท ส่วนชิ้นใหญ่ขายราคาชิ้นละ 25 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60% ของราคาขาย

ใครสนใจต้องการไปเยี่ยมชมการผลิต และลองลิ้มชิมรส “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” ขนมโบราณซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น หรือต้องการสั่งซื้อ ก็ติดต่อได้ที่ บ้านขนมฝรั่งกุฎีจีน เลขที่ 235 หมู่ที่ 1 ซอยกุฎีจีน 7 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลป์ยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 10600 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณโป้ง โทร.0-2465-5882 และ 08-6886-3368.


แนะนำอาชีพ ‘ขนมฝรั่งกุฎีจีน’ ทีมา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=177959

Friday, November 18, 2011

แนะนำอาชีพ 'ทำความสะอาดหลังน้ำท่วม'

แนะนำอาชีพ 'ทำความสะอาดหลังน้ำท่วม' จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น มีอาคารบ้านเรือนถูกน้ำท่วมจำนวนมาก ซึ่งเมื่อน้ำลดแล้วในเมืองไทย ก็จะมีการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนกันขนานใหญ่ เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นแบงก์ชาติประเมินว่าเม็ดเงินในการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนน่าจะสูงถึง 1 แสนล้านบาท โดยแต่ละครัวเรือนจะใช้งบซ่อมแซมบ้านเฉลี่ยหลังละ 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ซึ่งนี่ก็เป็น ’โอกาสจากวิกฤติน้ำท่วม“ ของบรรดาช่างต่าง ๆ อย่างที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ เคยชี้ช่องไว้เมื่อเสาร์ที่แล้ว

ขณะที่การ ’รับทำความสะอาด“ ก็เป็นช่องทางทำกินได้...

ทั้งนี้ จากสถานการณ์น้ำท่วม ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับการทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน อุปกรณ์ในบ้าน เผยแพร่ทางสังคมออนไลน์ไม่น้อยเลย ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของอาคารบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็สามารถจะเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ “สร้างอาชีพ-ทำเงิน” ได้ อย่างไรก็ตาม ณ ที่นี้ก็ขอเน้นว่าไม่ควรมีการหากินแบบหน้าเลือด โก่งราคา ควรคิดค่าบริการแค่พอเหมาะพอสม ช่วย ๆ กันไปสำหรับเจ้าของอาคารบ้านเรือนที่มีงบน้อย หรือไม่มีกำลังจะทำเอง เป็นดีที่สุด

กับข้อมูลเรื่องการทำความสะอาดอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วมที่มีอยู่ในสังคมออนไลน์นั้น ก็ยกตัวอย่างเช่น...

การขจัดความชื้นในอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วม ซึ่งว่ากันว่าคือหัวใจหลักของการซ่อมแซม-การดูแลอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วม โดยต้องขจัดความชื้นของบ้าน ส่วนประกอบต่าง ๆ ของบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ โดยเร็ว มิฉะนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค-เชื้อรา ซึ่งวิธีการขจัดความชื้นคือ เปิดหน้าต่าง เปิดประตู เพื่อระบายถ่ายเทอากาศให้ได้มากที่สุด อุปกรณ์ใดในบ้านที่เปียกถ้าเปิดได้ก็ให้เปิดเพื่อระบายความชื้น ถ้าอาคารบ้านเรือนมีเครื่องปรับอากาศ มีพัดลม ก็ให้เปิดเพื่อช่วยระบายความชื้น ในบางจุดก็อาจหาสารดูดความชื้นแบบที่มีมาในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์หลายอย่าง มาใช้เพื่อช่วยขจัดความชื้น หรืออาจใช้ไดร์เป่าผมเป่าตามจุด หรืออุปกรณ์ในบ้าน ที่ต้องการให้แห้ง ให้หมดความชื้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าต้องการจะ ขจัดเชื้อโรคหรือเชื้อราหลังน้ำท่วมอาคารบ้านเรือน สำหรับพื้นบ้าน ผนังบ้าน หรืออุปกรณ์ในบ้านหลาย ๆ อย่าง ใช้น้ำยาที่ใช้ล้างบ้าน ใช้ล้างผนังห้องน้ำ (bleach) ได้ ก็จะช่วยขจัดเชื้อโรคเชื้อราที่ฝังตัวออกได้

การทำความสะอาดพรมในอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วม กรณีอาคารบ้านเรือนมีพรมและถูกน้ำท่วม การทำความสะอาดก็เริ่มจากใช้สายยางต่อก๊อกน้ำทำการฉีดน้ำแรง ๆ ให้สิ่งติดค้าง สิ่งสกปรกต่าง ๆ หลุดออก จากนั้นก็รีดน้ำที่ขังอยู่กับพรมออก โดยใช้อุปกรณ์หรืออะไรก็ได้ที่สามารถใช้กดรีดได้ หรือไล่น้ำออกจาก
พรมโดยการม้วนบีบ แต่อย่าบีบแรงเกินไปมิฉะนั้นเนื้อพรมจะรวน และเมื่อไล่น้ำเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปก็ใช้แชมพูสระผมสูตรอ่อน ๆ อย่างแชมพูสระผมสำหรับเด็กมาช่วยทำความสะอาดพรม แล้วใช้น้ำสะอาดล้างออกให้หมด จากนั้นก็นำพรมไปผึ่งแดดให้แห้ง เป็นอันเสร็จ

นอกจากที่ว่ามาข้างต้นแล้ว ใน http://www.decorre port.com/ ก็มีข้อมูลคำแนะนำเรื่อง การกำจัดตะไคร่น้ำและเชื้อราบริเวณ นอกบ้านหลังน้ำท่วม โดยขั้นตอนก็มีดังนี้คือ... 1. ใช้สเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำฉีดบนพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาด, 2. กรณี คราบสกปรกยังคงอยู่หรือเป็นคราบที่ฝังแน่น ให้ฉีดสเปรย์น้ำยาซ้ำอีกครั้ง จากนั้นใช้แปรงขนแข็งมาขัด แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด, 3. เมื่อพื้นผิวแห้งสนิทดีแล้ว ใช้น้ำยาป้องกันตะไคร่น้ำมาทำการเคลือบพื้นผิว ด้วยแปรงหรือลูกกลิ้ง โดยไม่ต้องผสมน้ำ 4. กรณีพื้นทางเดิน พื้นบริเวณนอกบ้าน มีคราบน้ำมัน หรือมีคราบจาระบีฝังแน่นอยู่ ให้ใช้น้ำยาขจัดคราบน้ำมันผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 5 เทลงในจุดที่ต้องการทำความสะอาด จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที น้ำยาจะทำปฏิกิริยากับคราบสกปรก โดยคราบน้ำมันจะค่อย ๆ ลอยขึ้นมาให้เห็น ก็ได้เวลาใช้แปรงขัด แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง

ทั้งนี้ ที่ว่ามาก็เป็นตัวอย่างวิธี ’ทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน“ หลังน้ำท่วม ซึ่งใครที่ว่างงาน ไม่มีอาชีพ จะตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม หรือเพราะน้ำท่วมก็ตามแต่ อาจสามารถเรียนรู้ไว้ใช้เพื่อ “สร้างงานสร้างเงินหลังน้ำท่วม” ได้
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=176800

แนะนำอาชีพ 'ทำความสะอาดหลังน้ำท่วม' นี่ก็เป็นหนึ่งใน ’โอกาสจากวิกฤติน้ำท่วม“ นะ!!.

Sunday, November 13, 2011

แนะนำอาชีพ “โอปอล ค็อกเทล”

แนะนำอาชีพ “โอปอล ค็อกเทล” สูตรเครื่องดื่ม แก้เครียดน้ำท่วม จาก เดอะ บาร์ โรงแรมโนโวเทล บางนา กรุงเทพฯ “โอปอล ค็อกเทล” ส่วนผสมประกอบด้วย... จิน 2 ออนซ์, น้ำส้มคั้น 1 ออนซ์, ทริเปิ้ล แซ็ค 1-2 ออนซ์, น้ำตาลทรายละเอียด 1-2 ช้อนชา, เชอร์รี่ 2 ลูก, น้ำแข็งบดละเอียด 1 กำมือ วิธีทำ… นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ค็อกเทลเชคเกอร์ เขย่าจนเข้าที่ แล้วเทใส่แก้วค็อกเทลเก๋ ๆ ที่แช่เย็นแล้ว ประดับด้วยลูกเชอร์รี่สัก 2 ลูก พร้อมเสิร์ฟ-พร้อมดื่ม
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=175637

Friday, November 11, 2011

แนะนำอาชีพ 'ทำกินยุคน้ำท่วม'

สถานการณ์อุทกภัยปีนี้รุนแรง ขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกระดับ รวมถึงภาคธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้คนต่างต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต รวมถึงอาชีพการทำมาหากินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนอาจบ่นพ้อ ๆ ถึงอนาคตวันข้างหน้า หลายคนยังไม่รู้ว่าหลังน้ำลดชีวิตจะเป็นแบบใด อย่างไรก็ดี คอลัมน์ ’ช่องทางทำกิน“ หนังสือพิมพ์ ’เดลินิวส์“ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสู้-สู้ อย่าท้อแท้ท้อถอย และกับหลาย ๆ คน ’ในวิกฤติก็ยังมีโอกาส“ เกิดขึ้นได้…

คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” วันนี้ ขอนำเสนอแนวทางจากผู้เชี่ยวชาญ คำแนะนำถึงช่องทางทำมาหากินในยามที่น้ำหลาก จนถึงยามที่น้ำลด ฉายภาพให้หลายคนที่สู้-สู้ พิจารณานำไปเป็นแนวทางปรับตัว-ปรับชีวิต ในยามนี้ และยามหน้า

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ นักวิชาการด้านกลยุทธ์และการตลาด ให้สัมภาษณ์ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ไว้ว่า... หลายคนอาจคิดว่าในยามที่น้ำท่วม การประกอบอาชีพหรือการทำธุรกิจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามองมุมกลับ ในยามนี้ก็สามารถที่จะ “ปรับวิธี-เปลี่ยนกลยุทธ์” จากรูปแบบธุรกิจดั้งเดิม มาทำธุรกิจรูปแบบใหม่ ได้ไม่แพ้ยามน้ำแห้ง

สำหรับอาชีพที่น่าสนใจในสถานการณ์ “น้ำท่วม” ตามที่ รศ.ดร.สมชายแนะนำนั้น ก็มีอาทิ การขนของเพื่อเข้าไปจำหน่ายในพื้นที่น้ำท่วม, การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด-อาหารกระป๋อง, การผลิตเรือ รวมถึงงานบริการรับจ้างขนส่งสินค้าหรือขนส่งคน โดยถ้าสามารถปรับรูปแบบการกระจายสินค้า จำหน่ายสินค้า บริการ ซึ่งอาจจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้านเรือหรืออื่น ๆ แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถทำกำไรในยามนี้ได้อย่างดี เพราะมีความต้องการสินค้าเป็นจำนวนมาก

“อาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้างในเรื่องของการเดินทาง และมีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักแหล่งซื้อสินค้า แต่ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับการประกอบธุรกิจในยามนี้”รศ.ดร.สมชายกล่าว

จากคำแนะนำของนักวิชาการรายนี้ ก็น่าจะพออนุมานได้ว่า... แม้แต่การบรรจุของ-ขนของ ลุยน้ำเข้าไปขายตามพื้นที่น้ำท่วม ก็ยังถือว่าเป็นอีกอาชีพที่สามารถทำได้ในยามนี้ สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ในช่วงน้ำท่วม เนื่องจากหลายคนที่ไม่ได้อพยพหรือเดินทางออกจากบ้าน โดยเฉพาะตามหมู่บ้าน ชุมชนใหญ่ ๆ อาจมีกำลังซื้อ เพียงแต่ไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านเพื่อหาซื้อสินค้าได้ เพราะน้ำท่วม เรื่องการเดินทางกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่มิใช่จะทำได้ง่าย ๆ

ช่องทางทำกินยุคน้ำท่วมจากที่ยกตัวอย่างมา เป็น “การขายผนวกการบริการ” ที่เพิ่มราคาได้ตามสมควร แต่ทั้งนี้ ในเรื่องความปลอดภัย ความชำนาญในพื้นที่ นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย

ต่อด้วยหลังน้ำท่วม ในยามที่น้ำลด-น้ำแห้ง ผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วมแล้ว รศ.ดร.สมชายก็แนะนำว่า... อาชีพที่มีแนวโน้มว่าเมื่อน้ำลดแล้วจะมีความต้องการสูง และเป็นที่ต้องการมากของตลาด ได้แก่ อาชีพที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมด้านต่าง ๆ อาทิ ช่างซ่อมแซมบ้านที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์, ช่างทาสี, ช่างปรับปรุง ติดตั้งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง ๆ, ช่างประปา, ช่างไฟฟ้า-ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า-ติดตั้งระบบไฟฟ้า ฯลฯ รวมถึงอาชีพที่เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งงานช่างต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นอาชีพที่สำคัญหลังน้ำลดลง ซึ่งผู้ที่จะทำเงินได้ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นช่างต่าง ๆ โดยอาชีพอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ขอเพียงมีความรู้ในด้านนั้น ๆ จริง ๆ พอจะมีทักษะอยู่พอตัว ก็สามารถจะรับงานได้ หรือการ รับจ้าง-บริการทำความสะอาด นี่ก็ทำเงินได้ สามารถจะทำได้ไม่ยากเกิน

“อธิบายง่าย ๆ คืออาชีพหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะฟื้นฟูนั้น ภายหลังน้ำลดลง อาชีพและงานบริการ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเหล่านี้ จะเป็นอาชีพที่ตลาดมีความต้องการสูงในอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่กำลังคิดหรือวางแผนการเริ่มต้นธุรกิจหรือการทำอาชีพหลังจากนี้ น่าจะได้ลองพิจารณากัน” ...รศ.ดร.สมชายระบุ

ทั้งนี้ แนวทางอาชีพ-แนวทางธุรกิจดังที่ว่ามา เป็นการ ’ปรับ-ประยุกต์-ดัดแปลง“ การทำมาหากิน ’ช่องทางทำกิน“ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งในยามน้ำท่วมและในยามน้ำลด ซึ่งหากใครทำได้รับรองไม่เครียดเรื่องขาดรายได้แน่ ๆ อย่างไรก็ตาม การทำอาชีพ-ทำธุรกิจใด ๆ ในยามน้ำท่วมและน้ำลด ก็ต้องเน้นว่า ควรจะดำเนินไปแบบมีจริยธรรม มีคุณธรรม ’ไม่ขูดรีด-โก่งราคา“ เราคนไทยด้วยกันก็ควรจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน...ตามสมควร

เช่นนี้จึงจะยั่งยืนกับ ’ช่องทางทำกิน“ ที่เลือกทำ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=175442

Friday, November 4, 2011

แนะนำอาชีพ''กระทง - ลอยกระทง''

แนะนำอาชีพ ''กระทง - ลอยกระทง''’น้ำท่วม...น้ำท่วม...น้ำท่วม...“ ยุคนี้หันไปทางไหนก็มีแต่น้ำท่วม ’เครียด...เครียด...เครียด...“ ยุคนี้หันไปทางไหนก็มีแต่คนเครียด ’ทำใจ...ทำใจ...ทำใจ...“ ยุคนี้ก็ต้องพยายามทำใจกันครับ!! ก็คิดเสียว่าปีนี้คนไทยเราจะได้ ’ลอยกระทง“ กันชนิดที่ชิดใกล้กับน้ำมาก ๆ เลย และกับบางคนก็อาจ ’ทำกระทงขาย“ ซะเลย!!

ทั้งนี้ เสาร์นี้หน้า ’ช่องทางทำกิน“ มีการปรับเปลี่ยนเฉพาะกิจเป็นการชั่วคราว ซึ่งไหน ๆ ก็ไหน ๆ หันไปทางไหนก็มีแต่น้ำ และนี่ก็ใกล้ถึงเทศกาลลอยกระทงแล้ว ก็เอาเป็นว่าวันนี้มาดูวิธีทำ “กระทงจากวัสดุธรรมชาติ” กันอีกสักครั้ง ซึ่งยุคน้ำท่วมนี้มะพร้าวแก่ที่ลอยน้ำได้น่าจะยังพอหาได้ ก็ลองเอามาทำกระทงเตรียมไว้ลอยหรือขายกันมั้ยครับ?

ทางหน้า “ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนอเรื่องการทำ ’กระทงจากลูกมะพร้าว“ ไอเดียของ คุณกิตติวัฒน์ เมธาพัฒน์อธิกุล ซึ่งก็น่าสนใจ วันนี้เราลองมาดูซ้ำกันอีกสักครั้ง ดังนี้... ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการนำมะพร้าวแก่มาล้างทำความสะอาด ล้างพวกเศษดินและคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามเปลือกของลูกมะพร้าวออกด้วยน้ำ

ล้างแล้วก็นำไปตากให้แห้ง จากนั้นก็นำมะพร้าวที่ทำความสะอาดและตากแห้งดีแล้วมาเลื่อยตัดครึ่งทั้ง เปลือก แล้วนำมะพร้าวที่ตัดครึ่งไปตากแดดทิ้งไว้อีกครั้ง เพื่อให้เนื้อมะพร้าวที่ติดอยู่ล่อนหลุดออกจากกะลา

ลำดับถัดมา นำมะพร้าวที่เนื้อหลุดออกไปแล้วมาใช้ปากกาทำการร่างลายกลีบกระทงลงบนเปลือก ด้านนอกตามต้องการ จะทำกลีบเล็กหรือกลีบใหญ่ก็ได้ เมื่อร่างเสร็จแล้วก็ใช้คัตเตอร์ตัดตามลายที่ร่างไว้ แล้วลอกเปลือกมะพร้าวตรงส่วนที่ตัดออกให้เห็นถึงกะลา จากนั้นก็ใช้คัตเตอร์ปาดส่วนปลายแหลมของกลีบเอาเปลือกที่ติดกะลาออกไปประมาณ 2 เซนติเมตร เท่านี้ก็จะได้กลีบนอกของกระทง ก่อนจะทำกลีบชั้นใน

ขั้นตอนการทำกลีบชั้นในของกระทงลูกมะพร้าว เมื่อเราทำกลีบกระทงด้านนอกเสร็จแล้ว ก็จะเห็นกะลา ก็ใช้เลื่อยสำหรับเลื่อยไม้ทำการเลื่อยตัดกะลาด้านในให้เป็นกลีบกระทงสลับ กับกลีบนอก เมื่อตัดเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด แล้วหาสีย้อมไม้มาทาให้ทั่ว หรือจะใช้สีทองหรือสีเงินทาด้านในเพื่อความสวยงามด้วยก็ได้ เสร็จแล้วก็ตกแต่งด้วยกากเพชร หรือวัสดุตกแต่งอื่น ๆ เท่านี้ก็จะได้ “กระทงจากลูกมะพร้าว”

แต่กรณีทำขาย ก่อนจะสามารถขายได้ก็ต้องทำการประดับตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้นเสียก่อน ซึ่งก็อาจจะตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้ หรือดอกไม้อื่น ๆ เท่าที่พอหาได้ เพื่อให้มีสีสันสวยงาม ปักธูป ปักเทียน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ทั้งนี้ กรณีทำขาย ราคาขายก็จะตั้งได้ตามขนาดของกระทง ผลงานกระทงจากลูกมะพร้าวอาจเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ตามแต่ขนาดของลูก มะพร้าว ซึ่งถ้าขนาดเล็ก กว้างสักประมาณ 6 นิ้ว ก็อาจตั้งราคาได้ประมาณ 40 บาทขึ้นไป ถ้าขนาดใหญ่ กว้างสักประมาณ 9 นิ้ว ก็อาจตั้งราคาได้ประมาณ 50 บาทขึ้นไป

หรือถ้ามีลูกมะพร้าวแก่เยอะ แต่ขาดวัสดุตกแต่ง จะลองติดต่อหาแหล่งเพื่อที่จะทำเฉพาะตัวกระทงไปส่งขายราคาเฉลี่ยใบละ 20-30 บาท ก็อาจจะได้ ก็ให้คนรับซื้อนำไปตกแต่งแล้วตั้งราคาขายต่ออีกที

แถมท้ายจากไอเดียของคุณกิตติวัฒน์ที่เคยบอกกับทีม ’ช่องทางทำกิน“ ไว้ กับกระทงจากลูกมะพร้าวนี้ ใช่ว่าจะขายได้เฉพาะวันลอยกระทงซึ่งปี 2554 นี้ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง ตรงกับวันที่ 10 พ.ย. กระทงจากลูกมะพร้าวนี้สามารถจะเจาะรู นำลวดที่ใช้ทำกระถางต้นไม้แบบแขวนมาใส่เข้าไป ก็จะได้เป็นกระถางต้นไม้ ก็ขายได้เช่นกัน

ที่ว่ามาก็เป็นอีกรูปแบบ ’กระทงธรรมชาติ“ ที่หน้า ’ช่องทางทำกิน“ หยิบยกนำมาบอกซ้ำกันอีกครั้ง เผื่อว่าใครจะลอง ’ทำลอย-ทำขาย...คลายเครียดยุคน้ำท่วม“ กันครับ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=173989

สำหรับอีกรูปแบบนี้ เป็น “กระทงจากหัวปลี” ไอเดียของ อนุพงษ์ ภูสีเขียว ซึ่งเคยให้ข้อมูลทีม “ช่องทางทำกิน” ไว้ ในฐานะนักศึกษาสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ทั่วไป-ธุรกิจงานประดิษฐ์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจบหรือยัง ทั้งนี้ กระทงธรรมชาติรูปแบบนี้ ส่วนประกอบที่ใช้ทำต่อ 1 กระทงก็มี... หัวปลี 2 หัว, ต้นกล้วยทำฐานกระทง ขนาด 8 นิ้ว, ใบตอง, ดอกรักหรือดอกไม้อื่น ๆ สำหรับตกแต่งให้สวยงาม, ธูป-เทียน, ไม้กลัดหรือตะปูเข็ม ส่วนอุปกรณ์หลัก ๆ คือ มีด กรรไกร

วิธีทำเริ่มจาก...

1. ตัดใบตองเป็นวงกลมให้มีขนาดเท่ากับต้นกล้วยที่ใช้ทำเป็นฐานกระทง แล้วนำมาปิดทับบนฐานกล้วย พักไว้

2. เตรียมกลีบหัวปลี ด้วยการใช้มีดเลาะปลีกล้วยออกทีละกลีบ โดยเก็บเกสรกล้วยไว้ จากนั้นแยกสีของกลีบหัวปลีเรียงกันไว้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

3. ชั้นที่ 1 ติดเกสรกล้วยกับฐานกระทงให้รอบ ยึดด้วยไม้กลัดหรือตะปูเข็ม ชั้นที่ 2 ใช้ปลีกล้วยที่มีสีอ่อนที่สุดพับครึ่งโดยนำด้านในออก ติดให้รอบฐานกระทง ชั้นที่ 3 ใช้ปลีกล้วยสีกลางติดโดยรอบ ส่วนชั้นที่ 4 และชั้นที่ 5 ใช้ปลีกล้วยสีเข้มที่สุดติดโดยรอบ

4. นำดอกรักหรือดอกไม้ชนิดอื่น ๆ มาติดเรียงกันให้รอบฐานกระทง โดยยึดด้วยไม้กลัดหรือตะปูเข็ม

5. นำธูป เทียน ปักกลางกระทง ก็จะได้กระทงจากปลีกล้วยที่สวยงาม พร้อมนำไปลอย หรือขาย

ทั้งนี้ กระทงแบบนี้ถ้าทำได้สวยก็อาจตั้งราคาขายได้ใบละกว่า 100 บาทขึ้นไป ส่วนยามนี้แม้น้ำจะท่วม แต่ถ้าใครพอจะหาวัตถุดิบมาทำได้ นี่อาจไม่เพียงแค่ทำลอยเองแก้เครียดน้ำท่วมในวันลอยกระทง 10 พ.ย.นี้…

อาจเป็น “ช่องทางทำกินเฉพาะกิจ” ก็ได้นะครับ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=174175