Saturday, July 28, 2012

แนะนำอาชีพ “ขนมเทียนสลัดงา”

“ขนมเทียนสลัดงา” หรือบางคนอาจจะรู้จักในชื่อ “ขนมงาสลัด” สองชื่อนี้เป็นขนมชนิดเดียวกัน ปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งขนมโบราณที่หาทานยาก แต่ก็ยังมีผู้สืบทอดการทำขนมชนิดนี้อยู่บ้าง ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำขนมชนิดนี้มานำเสนอ โดยผู้ที่อนุรักษ์สืบทอดขนมโบราณชนิดนี้ ก็สามารถจะยึดเป็นอาชีพได้อย่างดี...
                              
เบญจมาศ  เบ้าทอง หรือคุณเบญ เจ้าของร้านขนมเทียนบ้านทรงไทย เล่าให้ฟังว่า เธอทำ “ขนมเทียนสลัดงา” ขายเป็นอาชีพเลี้ยงตัวมาประมาณ 5 ปีแล้ว  ซึ่งก่อนนั้นเคยทำงานเป็นแม่บ้านของชาวต่างชาติ และเมื่อมีเวลาว่างก็จะทำอาหารหวานคาวไปถวายพระทำบุญที่วัดอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะขนมเทียนสลัดงาที่ได้สูตรการทำมาจากเพื่อน ซึ่งทำทีไรก็มักได้รับคำชมและถามถึงที่มาจากคนที่ได้ชิม เพราะให้ความรู้สึกถึงวิถีชีวิตความเป็นไทย  

“ตอนเป็นเด็กเวลาตามคุณแม่ไปทำบุญที่วัด มักจะได้กินขนมเทียนสลัดงาเสมอ พอโตมาหาทานยากมาก พอดีเพื่อนสนิทได้รับการถ่ายทอดสูตรขนมนี้ ซึ่งเป็นสูตรตั้งแต่คุณยาย มาถึงคุณแม่ และเพื่อน พอรู้ว่าเราชอบขนมเทียนสลัดงาเพื่อนก็ทำให้ทาน พร้อมกับสอนให้ทำโดยไม่หวงสูตร ส่วนจุดเริ่มต้นของอาชีพนี้คือ ตั้งใจทำขนมไปถวายพระ พระท่านก็บอกว่าถูกจริต โยมทำเองหรือ ทำไมไม่ทำขายล่ะ ซึ่งก็ตรงกับคำพูดของผู้ใหญ่ที่นับถือ และเพื่อนก็เคยถามแบบนี้ เราก็นึกสนใจ และก็คิดว่าคงต้องไปขออนุญาตเพื่อนที่สอนให้ก่อนว่าจะให้เราทำขายได้ไหม เพื่อนก็บอกเอาเลย การทำขนมเทียนสลัดงาดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไร ดูง่ายไปหมด แต่จริง ๆ แล้วยาก โดยเฉพาะในเรื่องการกวน ซึ่งต้องอึดและต้องทน เพราะต้องใช้แรง จุกจิก และใช้ระยะเวลายาวนาน ถือเป็นการทำขนมที่หนักทีเดียว” คุณเบญกล่าว

พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า ขนมของที่ร้านไม่ใส่สารกันบูดเด็ดขาด จึงมีอายุได้ 2 วัน แต่ถ้าทานไม่หมดแล้วนำเข้าช่องแช่แข็ง  จะอยู่ได้นานถึง 2 เดือน เมื่อจะรับประทานก็นำออกมาให้คลายความเย็นลง ขนมก็จะยังอร่อยเหมือนเดิม

ในการทำ อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส, เครื่องบด, กระทะทอง, ไม้พาย, กะละมัง, ถาด, กรรไกร, มีด, หม้อสเตนเลส, ถุงพลาสติกใส และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบยืมเอาจากในครัวได้

ส่วนผสม “ไส้ขนมเทียนสลัดงา” ประกอบด้วย ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก, น้ำตาลทราย, หอมแดง, พริกไทยป่น, เกลือ สำหรับส่วนผสม “ตัวแป้งขนมเทียนสลัดงา” จะใช้แป้งข้าวเหนียว กับน้ำสะอาด

ขั้นตอนการทำ “ขนมเทียนสลัดงา” เริ่มจากเตรียมภาชนะห่อขนม โดยใช้พลาสติกใสมาตัดเป็นวงกว้างตามขนาดที่ต้องการ เตรียมไว้สำหรับการทำไส้ขนม นำถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ทิ้งไว้ประมาณ 4-5  ชั่วโมง จึงนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นก็ทำการบดหรือโขลกให้ละเอียด เสร็จแล้วตักใส่กระทะทอง ตั้งพักไว้

ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใช้ความร้อนปานกลาง นำหอมแดงซอยลงเจียวให้หอม ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ก่อนจะนำไปใส่ในกระทะทองที่มีถั่วบดอยู่ ตามด้วยพริกไทย น้ำตาลทราย เกลือ แล้วเริ่มกวนด้วยไฟปานกลางไปเรื่อย ๆ จนแห้งและร่อน ยกลงตั้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นไส้ให้เป็นก้อนกลมเตรียมไว้ ก่อนจะนำไปอบควันเทียนในภาชนะที่มีฝาปิด 3-4 ชั่วโมง

ต่อไปเป็นการทำตัวแป้ง นำแป้งข้าวเหนียวมานวดกับน้ำเปล่า หรือจะเป็น น้ำใบเตย หรือ น้ำอัญชัน ก็ได้ตามความต้องการ นวดจนแป้งเนียนเป็นเนื้อเดียวกันจนสามารถปั้นได้ (ไม่เหลวติดมือ) จากนั้นพักแป้งไว้สักครู่โดยเอาผ้าขาวบางบิดน้ำหมาด ๆ คลุมไว้ เพื่อให้แป้งเซตตัว ระหว่างที่รอแป้งเซตตัวก็นำงาที่ล้างและสะเด็ดน้ำแล้วมาคั่วจนเม็ดงาพองส่ง กลิ่นหอม และมีสีเหลืองอ่อน ๆ เตรียมไว้ เมื่อแป้งเซตตัวดีแล้วก็นำมาแบ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ ใช้มือแผ่แป้งออก ใส่ไส้แล้วห่อปิดไส้ให้มิด นำไปต้มในน้ำเดือดจนแป้งลอยขึ้นมาซึ่งแสดงว่าสุกแล้ว ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ แล้วคลุกงาคั่วที่เตรียมไว้ให้ทั่ว

จากนั้นก็ทำการห่อขนม โดยการห่อขนมให้เอาพลาสติกใสที่ตัดเตรียมไว้มาทำเป็นรูปกรวย นำขนมที่คลุกงาคั่วเรียบร้อยใส่ลงไปในกรวย กดพอแน่น แล้วห่อเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด หรือรูปนมสาว ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน

การขาย “ขนมเทียนสลัดงา” เจ้านี้ มีทั้งแบบแพ็กเล็ก 5 ลูก 30 บาท แพ็กใหญ่ 10 ลูก 60 บาท โดยมีต้นทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบประมาณ 60% จากราคาขาย
 
“ขนมเทียนสลัดงา” เหมาะใช้ในงานทำบุญเลี้ยงพระ ขึ้นบ้านใหม่ ประชุมสัมมนา และเป็นของฝากของขวัญในงานเทศกาล งานมงคลต่าง ๆ ซึ่งคุณเบญก็มีบริการจัดเป็นกระเช้า ชะลอม และตะกร้าสวย ๆ โดยใครต้องการก็สั่งออร์เดอร์ล่วงหน้า 1 วัน ที่ โทร. 08-1657-1431 และยังมีวางขายที่ “ร้านโรตีวรรณพร” ถนนอู่ทอง จ.พระนครศรีอยุธยา โทร. 08-5185-2177 ซึ่งการทำขนมชนิดนี้ขายก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” จากการอนุรักษ์ขนมโบราณ ที่นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว.

http://www.dailynews.co.th/article/384/145027

Friday, July 27, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ดอกมะลิจากสบู่’

งานประดิษฐ์จากสบู่ดูทิศทางแล้วยังไม่ตัน ซึ่งวัตถุดิบอย่างสบู่นั้นสามารถนำมาต่อยอดดัดแปลงเป็นงานฝีมือได้อย่างน่า สนใจ รวมถึงงาน “ดอกมะลิจากสบู่” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้....
“ปรารถนา ขันธุลา” สมาชิกของ กลุ่มผู้สูงอายุหมู่บ้านเคซี 2 รามอินทรา เล่าว่า ทางกลุ่มได้ประดิษฐ์ต้นมะลิและช่อดอกมะลิจากสบู่ โดยงานตัวนี้ต่อยอดมาจากงานพวงมาลัยสบู่ ดัดแปลงให้เป็นต้นมะลิและช่อดอกมะลิ ซึ่งสมาชิกกลุ่มที่ทำเป็นผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่ต้องการหารายได้เสริม สร้างรายได้จุนเจือครอบครัวอีกทาง ทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

สำหรับจุดเด่นของต้นมะลิจากสบู่นี้ มีหลักการคล้ายกับการทำพวงมาลัยสบู่ เพียงแต่ปรับรูปแบบให้มีลักษณะเป็นช่อและดอกเพื่อนำไปปรับใช้ตกแต่งเข้ากับ สินค้าต่าง ๆ โดยนอกจากจะจำหน่ายได้ดีในช่วงเทศกาล “วันแม่” แล้ว ก็ยังสามารถจำหน่ายได้ตลอดปี เป็นของที่ระลึก ของชำร่วย หรือใช้ไหว้ผู้ใหญ่ในโอกาสและเทศกาลต่าง ๆ

“จุดเด่นของการใช้วัตถุดิบสบู่นี้คือ สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน โดยสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2-3 ปี หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บรักษา” ปรารถนากล่าว

ทุนเบื้องต้นสำหรับการทำ “ดอกมะลิจากสบู่” ใช้ประมาณ 1,500 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์และวัตถุดิบ ขณะที่ทุนวัตถุดิบในการทำชิ้นงานแต่ละชิ้นอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ซึ่งราคาขายมีตั้งแต่ 10 บาท ไปจนถึง 350 บาท ขึ้นกับขนาด รูปแบบ และประเภทของสินค้า โดยมีรูปแบบ อาทิ ดอกเดี่ยว, ดอกเข้าช่อ, แจกันดอกมะลิ เป็นต้น

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ หลัก ๆ ประกอบด้วย กรรไกร ใช้ 2 ขนาดคือ กรรไกรขนาดเล็กปลายแหลม สำหรับใช้ตัดแต่งดอก และกรรไกรขนาดใหญ่ สำหรับใช้ตัดก้านดอกหรือวัสดุอื่น ๆ, ปากคีบปากแหลม ใช้สำหรับหนีบกลีบตกแต่ง, กาวลาเท็กซ์, เข็มกับด้าย (แบบเดียวกับเข็มร้อยมาลัย), ที่ปอกผลไม้, ไม้พาย และหม้อสเตนเลส สำหรับกวนสบู่และแป้ง

วัตถุดิบหรือวัสดุที่ใช้ ประกอบด้วย น้ำสะอาด, สบู่ก้อน, แป้งข้าวโพด, กาวลาเท็กซ์, วัสดุตกแต่ง อาทิ โบกับริบบิ้น, กลีบเลี้ยงดอกไม้, กล่องกระจกใส, แจกันหรือกระถางขนาดต่าง ๆ ก้านลวดและกลีบเลี้ยงดอกไม้ประดิษฐ์

ขั้นตอนการทำ การเตรียมสบู่สำหรับปั้น เริ่มจากขูดสบู่ให้เป็นแผ่นบาง ๆ ด้วยที่ขูดหรือที่ปอกเปลือกผลไม้ แล้วนำแผ่นสบู่ที่ได้ไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงจนสบู่นิ่ม เพื่อให้สะดวกในการกวน เมื่อสบู่นิ่มแล้วให้นำมาใส่หม้อสเตนเลส ตั้งไฟ ใช้ไม้พายกวนจนสบู่ละลายตัว จากนั้นเทกาวลาเท็กซ์ผสมลงไป แล้วกวนไปเรื่อย ๆ จนน้ำสบู่เดือด

พอน้ำสบู่เดือดแล้ว ก็ยกลงตั้งทิ้งไว้จนน้ำสบู่เย็นตัวจนถึงระดับแค่พออุ่น จากนั้นก็นำสบู่ที่อุ่นตัวแล้วเทลงผสมในแป้งข้าวโพดที่เตรียมไว้ แล้วทำการนวดด้วยมือจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

วิธีสังเกตว่าเนื้อสบู่ใช้ได้แล้ว ให้สังเกตว่าผิวของแป้งและเนื้อสบู่จะเนียนนวลไม่ติดมือ จากนั้นก็ทำการแบ่งแป้งสบู่ที่ผสมได้ออกเป็นก้อน ๆ เพื่อนำไปผสมสีตามต้องการ ซึ่งสำหรับการทำต้นและดอกมะลิให้ใช้สีขาวเป็นหลัก แต่ถ้าหากต้องการทำดอกไม้อื่น ๆ ก็ให้เลือกใช้สีได้ตามต้องการ เช่น ดอกกุหลาบ ใช้สีแดง ใบไม้ ก็ใช้สีเขียว เป็นต้น เมื่อผสมสีแป้งสบู่ตามต้องการแล้ว ก็นำแป้งที่ได้มาบรรจุใส่ถุงพลาสติกกันลมและอากาศ เพื่อป้องกันไม่ให้แป้งสบู่แข็งตัวก่อนใช้งาน

การขึ้นดอก เริ่มจากนำแป้งสบู่ที่ได้มานวดคลึงอีกครั้ง แล้วทำการปั้นให้เป็นรูปทรงกลม ขนาดประมาณเท่าลูกชมพู่ นำก้านลวดสำหรับการทำดอกไม้ประดิษฐ์มาเสียบเข้าไป จากนั้นเริ่มใช้กรรไกรตัดแป้งแบ่งให้เป็นกลีบดอกเท่า ๆ กัน

สำหรับการทำดอกมะลิ ที่กลุ่มนี้ทำอยู่จะเลือกใช้รูปแบบของ “มะลิซ้อน” ซึ่งจะต้องตัดแบ่งกลีบออกประมาณ 10-15 กลีบต่อ 1 ดอก จากนั้นใช้ปากคีบปากแหลมหนีบปลายกลีบทุกกลีบให้เกิดเป็นกลีบดอกมะลิ ใช้ปลายนิ้วทำการบีบปลายกลีบดอก เพื่อให้บาง และเพื่อเพิ่มความพลิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ขั้นตอนต่อมา ทำการประกอบดอก ทำการตกแต่งดอกด้วยการนำกลีบเลี้ยงมาตกแต่ง จากนั้นทำการรวมช่อหรือจัดให้เป็นพุ่มของต้นดอกมะลิ ด้วยวัสดุตกแต่งต่าง ๆ ตามต้องการ

“ความสวยงามของต้นหรือดอกมะลิที่ทำนั้น ขึ้นอยู่กับความสวยงามของช่อดอก ต้องระวังไม่ให้มีกลีบดอกมากหรือน้อยเกินไป อีกจุดคือทักษะในการจับกลีบดอก ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ” ปรารถนากล่าวแนะนำ สำหรับผู้ที่สนใจหัดทำงานฝีมือประเภทนี้ไว้เป็น “ช่องทางทำกิน”
ใครสนใจอยากจะซื้อหา “ดอกมะลิจากสบู่” ไปใช้ใน “วันแม่” ที่ใกล้จะมาถึง หรือจะสั่งไปจำหน่ายต่อ หรือต้องการได้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการทำแบบลึก ๆ ก็สามารถติดต่อ กลุ่มผู้สูงอายุหมู่บ้านเคซี 2 รามอินทรา ได้โดยตรง ที่ โทร.08-9128-8180, 08-0443-3714 ซึ่งแว่ว ๆ ว่าวันที่ 12 ส.ค. 2555 นี้ ก็จะมีการจัด “อบรมฟรี” ด้วย!!.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : เรื่อง-ภาพ
.........................................
คู่มือลงทุน...ดอกมะลิจากสบู่
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 1,500 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา
รายได้  ราคาดอกละ 10-350 บาท
แรงงาน  1 คนขึ้นไป
ตลาด  กลุ่มของที่ระลึก, ของชำร่วย
จุดน่าสนใจ ขายได้ตลอดปี-ขายดีช่วงวันแม่

http://www.dailynews.co.th/article/384/138142

Saturday, July 21, 2012

แนะนำอาชีพ "ลูกชิ้น - น้ำใส "

อาหารเส้นอย่าง “ก๋วยเตี๋ยว” ยังคงเป็นอาหารจานด่วนยอดนิยมอีกชนิดที่ฮิตตลอดกาล สามารถทำขายได้ทุกพื้นที่ชุมชน การขายก๋วยเตี๋ยวเป็นอีกอาชีพที่ควรมองสำหรับคนที่คิดจะทำการค้าเป็นของตัว เองและพอจะมีฝีมือเรื่องอาหารการกิน และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการขาย “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส” มานำเสนอ...
                             
ร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสรสเด็ดร้านหนึ่งที่ถนนพิบูลสงคราม จ.นนทบุรี เยื้อง ๆ กับธนาคารกสิกรไทย ชื่อร้าน “ลูกชิ้นหมู-เนื้อ น้ำใสแท้ 100% (เจ้าเก่า)”  ร้านนี้มีลูกค้าขาประจำแวะเวียนอุดหนุนไม่ขาดสาย โดย คุณลภัสรา และ คุณสาธิต อินทร์จรุงเก่า ที่เป็นเจ้าของร้านบอกว่า เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสมานานกว่า 10  ปีแล้ว

คุณลภัสราหรือคุณนุชเล่าว่า ก่อนจะมาทำอาชีพนี้เธอและสามีคือคุณสาธิตก็ค้าขายของกินมาก่อน ขายมาหลายอย่าง แต่ที่เปลี่ยนมาขายก๋วยเตี๋ยวเพราะเห็นว่าง่ายต่อการประกอบกิจการ และเบื้องต้นลงทุนไม่สูงมาก  อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดธุรกิจครอบครัวในการกระจายสินค้า โดยครอบครัวทำธุรกิจลูกชิ้นส่งขายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

“ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสเป็นก๋วยเตี๋ยวที่ทำง่ายที่สุด แต่การทำให้มีคุณภาพและอร่อยถูกปากก็ยากที่สุดในบรรดาก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน ซึ่งคุณภาพจะอยู่ที่  2  จุดคือ ลูกชิ้น และน้ำซุป ของที่ร้านจะปรุงสูตรพิเศษเหมือนทำกินเองที่บ้าน ความเด่นหรือพิเศษของความอร่อยอยู่ที่ลูกชิ้นทำเอง สดใหม่วันต่อวัน ลูกชิ้นเนื้อจะใช้เนื้อล้วน ๆ ไม่ปนมัน เข้าเครื่องปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันโดยไม่ผสมแป้ง นำเข้าเครื่องหยอดเป็นลูก ผ่านความร้อนจนสุก ได้ลูกชิ้นรสชาติกรอบอร่อยโดยไม่มีสารบอแร็กซ์ สำหรับเนื้อเปื่อยก็ใช้เนื้อน่องลายซึ่งเป็นส่วนที่อร่อยที่สุด จะมีเอ็นแทรกอยู่ เวลาเคี้ยวจะกรุบ ๆ อร่อย”

อีกเทคนิคในการขายที่สำคัญของร้านนี้ คุณนุชบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวของที่ร้านจะมีให้สั่งทั้งหมูและเนื้อ น้ำซุปที่ใส่ในก๋วยเตี๋ยวนั้นจะใช้น้ำซุปสองอย่าง แยกหม้อกันเด็ดขาด คือน้ำซุปหมูกับน้ำซุปเนื้อ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และสำหรับลูกชิ้นนั้น ลูกชิ้นหมูก็ทำเองเช่นเดียวกับลูกชิ้นเนื้อ ทำสดใหม่วันต่อวัน และใช้วัตถุดิบคุณภาพดี

นอกจากนี้ หลักการขายสำคัญอีกอย่างที่ผู้ขายก๋วยเตี๋ยวควรจะรู้คือ  น้ำลวกก๋วยเตี๋ยวและน้ำซุปจะต้องเดือดพล่าน เครื่องปรุงที่ใส่ต้องเป็นของใหม่และสด อย่างกระเทียมเจียว, น้ำส้มพริกดอง  และพริกป่น  คุณนุชบอกว่าเธอทำเองทุกอย่างวันต่อวัน  ต้องสะอาด และมาตรฐานน้ำซุปคือต้องได้รสชาติเหมือนกันทุกวัน จะเป็นตัวช่วยเสริมความหอมอร่อย
      
เครื่องปรุงรสชาติที่ต้องเตรียมไว้บริการทุกโต๊ะก็มี... น้ำปลา, น้ำตาล, พริกป่น, น้ำส้มพริกดอง, น้ำส้มพริกตำ  อุปกรณ์ในการขาย ก็เป็นอุปกรณ์ในการทำก๋วยเตี๋ยวขายทั่ว ๆ ไป เช่น หม้อก๋วยเตี๋ยว, ตู้ก๋วยเตี๋ยว, เตาแก๊ส,  ตะกร้อลวกเส้น, ทัพพีตักน้ำซุป, ชาม-ตะเกียบ-ช้อน เป็นต้น
       
วัตถุดิบที่ใช้  หลัก ๆ ก็มีเส้นก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ อาทิ   เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ขาว และบะหมี่ ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ เนื้อน่องลาย น้ำมันพืช กระเทียม ขึ้นฉ่าย และถั่วงอก
เป็นต้น
ในส่วนน้ำของซุป ใช้น้ำสะอาด 30 ลิตร ต้มกับกระดูกหมูเอียเล้งหรือคาตั๊ง 2 กก., รากผักชีทุบ 1 กำมือ, กระเทียมทุบพอบุบ 1 กำมือ และพริกไทย 3 ช้อนโต๊ะ โดยต้มผสมกัน ใช้ไฟปานกลาง ต้มให้เดือด หมั่นช้อนฟองทิ้งบ่อย ๆ แล้วปรุงรสชาติด้วยเกลือ  น้ำตาลกรวด ซีอิ๊วขาว เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ใช้ไฟอ่อน จนได้น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวหอมหวาน จึงปิดไฟ
วิธีขาย “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส” ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวตามที่ลูกค้าสั่งกับถั่วงอก ใส่ชาม ใส่กระเทียมเจียว เหยาะพริกไทยป่นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอม  โรยด้วยต้นหอมหั่น ขึ้นฉ่ายหั่น ตักน้ำซุปใส่พร้อมกับลูกชิ้น พร้อมเสิร์ฟ
 
ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้ง ลวกเส้นใส่ชาม ใส่กระเทียมเจียวคลุกเคล้ากับเส้นให้ชุ่มน้ำมัน  ใส่ซีอิ๊วดำเล็กน้อย คนเคล้าให้ทั่ว ไม่ต้องใส่น้ำซุป ซึ่งถ้าเป็นเกาเหลา ทั้งน้ำและแห้ง ก็ทำเหมือนที่ว่ามา เพียงแต่ไม่ต้องใส่เส้น
    
เมนูหลัก ๆ ของร้านนี้ ก็มีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู-เนื้อน้ำใส, ก๋วยเตี๋ยวแห้งลูกชิ้นหมู-เนื้อ, ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น, เกาเหลาหมู-เนื้อ ร้านนี้จะถูกใจผู้ที่ชื่นชอบลูกชิ้นเป็นพิเศษ เพราะจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มหนึบ โดยลูกชิ้นลวกจิ้มก็เป็นเมนูหนึ่งที่ลูกค้าแทบทุกโต๊ะจะต้องสั่ง เพราะได้ทั้งความหอมกระเทียมเจียว ผสานกับความแซบที่ลงตัวกันพอดีของพริกน้ำส้ม

ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส หมู-เนื้อ 100% เจ้านี้ ขายราคาชามละ 30 บาท พิเศษ 40 บาท ทุนวัตถุดิบประมาณ 60%
                                  
ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00-01.00 น. ร้านจะอยู่ฝั่งตลาดสดนนทบุรี ตรงถนนพิบูลสงคราม เยื้อง ๆ กับธนาคารกสิกรไทย สอบถาม โทร. 08-7012-2960 หรือ 08-7983-0203 ซึ่งนอกจากขายที่ร้านแล้วก็ยังมีบริการรับออกร้านจัดเลี้ยงด้วย ซึ่งก็ย่อมจะสะท้อนได้ชัดว่า “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส” นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ

http://www.dailynews.co.th/article/384/135996

แนะนำอาชีพ "เพนท์เครื่องแก้ว"

เครื่องแก้วต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแก้วใส่น้ำ ขวดแก้ว หรือโหลแก้ว จากที่ดูธรรมดา เป็นแก้วใส ๆ ทั่วไป ถ้ามีการนำศิลปะตกแต่งลงไป มีการวาดลวดลายต่าง ๆ ลงไป ก็จะทำให้เครื่องแก้วธรรมดา ๆ ดูมีค่า มีราคาขึ้นมาได้ และ ’เครื่องแก้วเพนท์ลาย“  ด้วยจินตนาการ ไอเดีย ถ้าฝีมือดีก็ช่วยสร้างงาน เป็นอีก ’ช่องทางทำกิน“ ที่สร้างรายได้อย่างน่าสนใจ...
โย-ปฐมพล สหธรรม และ ตุ้ย-ดาราม เฮมสัมเทียะ เพนท์รูปลงบนแก้วน้ำ โหลแก้ว เป็นลวดลายจิตรกรรมไทย จำหน่ายในชื่อแบรนด์ “Invisible painting” ตุ้ยนั้นทำงานหลักเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนโยรับราชการเป็นครูสอนด้านศิลปะ โดยงานเพนท์แก้วนั้นทำเป็นอาชีพเสริมจากงานหลัก โดยจะใช้เวลาว่างหลังจากเลิกงานหรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มานั่งทำ ซึ่งตุ้ยจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายมาร์เกตติ้ง ส่วนโยนั้นจะเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน

“ก่อนที่จะมาจับงานเพนท์แก้วนั้นก็ทำงานเพนท์รูปวาดรูปลงบนเฟรมผ้าใบขายอยู่ ก่อนแล้ว ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ทำจะเป็นงานที่ออกแนวลวดลายจิตรกรรมไทย เพราะเป็นงานที่ชอบและถนัด เพราะเรียนจบมาโดยตรง ส่วนงานเพนท์ลวดลายลงบนแก้วนั้นเพิ่งจะเริ่มทำได้ไม่นาน เริ่มจากการที่เราทั้ง 2 คนต้องการที่จะหาอะไรทำ ที่ดูแล้วแตกต่างออกไปจากคนอื่น จนได้ไปเห็นงานเพนท์กระจกตามตลาดต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ใช้สีสำหรับเพนท์กระจก จึงเกิดความคิดว่าจะนำงานที่ถนัดอย่างการวาด ลวดลายจิตรกรรมไทย มาวาดลงบนแก้วใสดูบ้าง” ผู้สร้างชิ้นงานเล่า

ทั้งสองคนร่วมกันเล่าว่า เมื่อมีแนวคิดเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เริ่มลงมือทำโดยทดลองวาดงานชิ้นเล็กก่อน ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ก็เริ่มลงตัว และการเลือกที่จะนำแก้วน้ำและโหลแก้วทรงสวยงามต่าง ๆ มาเพนท์ลวดลายก็เพราะเห็นว่าวัสดุพวกนี้เป็นวัสดุที่โปร่งใส สามารถเห็นได้รอบ ดูเป็นมิติ ที่สำคัญเป็นการเพิ่มมูลค่าได้อีกด้วย ซึ่งหลังจากที่ผลิตงานออกมาสู่ท้องตลาด โดยลงขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผลงานก็เริ่มได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ลวดลายที่เพนท์ลงไปนั้น เน้นลวดลายจิตรกรรมไทย เปลี่ยนจากวาดลงฝาผนัง ลงเฟรม มาวาดลงบนโหลแก้ว โดยรูปแบบลวดลายส่วนใหญ่นั้นจะคิดออกแบบเองทั้งหมด ซึ่งลวดลายที่วาดลงบนโหลแก้วนั้นจะไม่ลงให้เต็มพื้นที่ จะต้องเหลือพื้นที่แก้วใส ๆ ไว้บ้าง เพื่อให้ดูแล้วเห็นลวดลายที่วาดลงไปได้ชัดมากขึ้น

“เนื่องจากงานนี้เป็นงานแฮนด์เมด วาดทีละชิ้น ถ้าจะบอกว่างานที่ทำออกมาแต่ละชิ้นนั้นเป็นงานที่มีชิ้นเดียวในโลก ก็ว่าได้ และนี่ก็เป็นจุดเด่นของงานของเรา” เจ้าของงานกล่าว พร้อมทั้งบอกว่างานเพนท์แก้วนั้นเป็นงานที่ทำไม่ยาก เพียงแต่คนที่จะทำต้องมีความชอบและรักที่จะทำ ที่สำคัญต้องหาจุดเด่นที่เป็นแนวของตัวเองให้ได้ด้วย ซึ่งคนที่เริ่มทำใหม่ ๆ ยังไม่ชำนาญการวาดภาพ ก็สามารถฝึกได้โดยเริ่มจากลายที่ง่าย ๆ ก่อน อย่างพวกลายการ์ตูน ลายดอกไม้ เป็นต้น

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพนท์แก้วนั้น หลัก ๆ มีดังนี้คือ... สีอะคริลิก (ใช้หลายสี ไม่ใช้การผสมจากแม่สี), พู่กันเบอร์ต่าง ๆ แล้วแต่ความเหมาะสม, จานใส่สี, แก้วน้ำ-โหลใสทรงต่าง ๆ ตามต้องการ

ขั้นตอนการทำเริ่มจาก... ออกแบบลวดลายที่จะวาด และทำการสเกตช์ภาพนั้นลงบนกระดาษ โดยวาดรูปแบบลักษณะของโหลแก้วที่จะเพนท์ลงบนกระดาษ แล้วก็วาดลวดลายที่ออกแบบไว้ลงไป (การสเกตช์ลงกระดาษก่อนก็เพื่อให้ได้องค์ประกอบการวาดลงบนโหลแก้วหรือแก้ว น้ำที่สมบูรณ์) โดยออกแบบลวดลาย 2 ด้าน คือ ด้านหน้าและด้านหลัง

เมื่อออกแบบหรือสเกตช์ภาพลงบนกระดาษเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการวาดลงบนโหลแก้วหรือบนแก้วน้ำตามแบบ ซึ่งโหลแก้วหรือแก้วที่นำมาวาดนั้นต้องทำการล้างทำความสะอาดและเช็ดให้สะอาด ไม่มีฝุ่น การวาดโครงร่างนั้นจะใช้พู่กันวาดเป็นลายเส้นก่อน ซึ่งจะใช้สีขาวในการวาดเส้นโครง (ที่ต้องใช้สีขาววาดโครงร่างเพราะเวลาลงสีต่าง ๆ ตามลวดลาย จะสามารถทับเส้นโครงสีขาวจนมองไม่เห็นเส้นขาว) ทำการวาดทั้งด้านหน้าและด้านหลังตามแบบที่สเกตช์ไว้ ส่วนด้านข้างก็ลงลวดลายตกแต่งตามต้องการได้ หลังจากที่วาดโครงร่างเสร็จแล้วก็ทำการลงสีตามที่ออกแบบไว้ หลังจากที่ลงสีเรียบร้อยก็รอให้สีแห้ง จากนั้นก็แพ็กใส่กล่องหรือกรอบกระจก เตรียมวางจำหน่ายได้

ทั้งนี้ การวาดลวดลายจิตรกรรมไทยนั้น จะเน้นเรื่องของลายเส้นและสีจะต้องดูสดใส

สำหรับคนที่เริ่มหัดวาดเริ่มหัดทำใหม่ ๆ ยังไม่ชำนาญ ก็สามารถหาแบบที่ต้องการวาดมาติดไว้ด้านในโหลแก้วหรือแก้วน้ำ แล้วจึงวาดตามแบบ ก็ได้เหมือนกัน

ผลงานโหลแก้ว-แก้วน้ำเพนท์ลวดลายจิตรกรรมไทยของตุ้ยและโยนั้น มีหลายราคา ตามขนาดและลวดลาย แก้วน้ำเพนท์ลายขนาดเล็กราคาอยู่ที่ 55 บาท ขนาดใหญ่ราคา 150 บาท ส่วนโหลแก้ว ราคาก็มีตั้งแต่ 500-3,000 บาท ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับรูปทรงและขนาดของโหลแก้วและลวดลายที่วาด โดยการเพนท์
แก้วหรือโหลแก้วขายนั้นใช้ทุนเบื้องต้นไม่เกิน 2,000 บาท ก็สามารถผลิตงานออกมาวางขายได้แล้ว ซึ่งประเด็นหลักอยู่ที่ไอเดีย ฝีมือ ความชำนาญ
                             
ตุ้ยและโย ใช้เว็บไซต์ http://www.pantipmarket.com/mall/kataethai เป็นช่องทางโชว์และจำหน่ายผลงาน ’เครื่องแก้วเพนท์ลาย“ และรับสั่งทำตามออร์เดอร์โดยติดต่อได้ที่ โทร. 08-9004-4980, 08-3849-0050 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการใช้พื้นฐานเดิมที่มี ผนวกกับการหาช่องว่างทางการตลาด จนเกิดเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ที่ดี.

http://www.dailynews.co.th/article/384/136969

แนะนำอาชีพ “ผักหวานกรอบ”

เก็บตกจาก “งานมหัศจรรย์โอทอป ช็อปสุขใจ” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-19 มิ.ย. ที่ผ่านมา ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 เมืองทองธานี ภายในงาน ทีม “ช่องทางทำกิน” เราได้พบกับร้านขาย “ยำผักหวานกรอบ” และ “ส้มตำผักหวานกรอบ” จาก จ.สระบุรี เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำข้อมูลการทำการขายมาเล่าสู่กัน เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาช่องทางทำกิน...
 
เล็ก เจตสุวรัตนมณี เจ้าของร้าน “ครัวผักหวานป้าน้อย” เล่าว่า ทำร้านอาหารมานาน 12 ปีแล้ว โดยขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น หมูตุ๋น เนื้อเปื่อย ต่อมามีนายอำเภอคนหนึ่งบอกว่า “ผักหวาน” สามารถนำมาปรุงอาหารได้ บอกว่าให้ที่ร้านลองใช้ดูแล้วจะช่วยประชาสัมพันธ์ให้ ทางร้านจึงเริ่มทำก๋วยเตี๋ยวที่ใส่ผักหวานแทนถั่วงอก และก็ได้แนะนำส่งเสริมให้ชาวบ้านในละแวกบ้านช่วยกันปลูก ซึ่งผลผลิตผักหวานยังสามารถใช้ทำเป็นไวน์ ข้าวเกรียบ ขนม หรือทำใบชาก็ได้ โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลระบุไว้ว่าผักหวานมีประโยชน์ มีสรรพคุณต่าง ๆ ต่อร่างกาย จึงได้มีการปลูกในวงกว้าง

“แต่เดิมผักหวานนั้นมีปลูกตามท้องไร่ท้องนา คล้าย ๆ ใบกะเพราอะไรทำนองนี้ แต่เมื่อมีการส่งเสริมก็กลายเป็นผักเศรษฐกิจ และคนนิยมรับประทาน โดยที่ร้านยังมีเมนูผักหวานอื่น ๆ เช่น ยำผักหวานสด ผักหวานกรอบ ส้มตำผักหวานกรอบ แกงเลียงผักหวาน ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่แม่ผมเคยเปิดร้านขายข้าวแกง และมีผมเป็นลูกมือประจำ เลยทำให้ผมมีฝีมือในการทำอาหารด้วย ดังนั้นผมจึงได้คิดเมนูดังกล่าวขึ้นมา หลังจากที่เปิดร้านขายอาหาร” เจ้าของร้านนี้เล่า

ทางร้านนี้ได้ให้ข้อมูลการทำ “ยำผักหวานกรอบ” และ “ส้มตำผักหวานกรอบ” โดยอุปกรณ์การทำนั้น หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส กระทะ กะละมังสเตนเลส ถ้วย-ชาม ทัพพี และอุปกรณ์ครัวเบ็ดเตล็ด ลงทุนครั้งแรกไม่เกิน 10,000 บาท

เล็กบอกว่า ยอดผักหวาน ซึ่งเป็นส่วนที่นำมาใช้ทำยำและส้มตำ วิธีเตรียมคือคลุกกับแป้งที่เป็นสูตรผสมของทางร้าน โดยใช้แป้งข้าวเหนียวกับแป้งข้าวเจ้าในอัตราส่วน 60:40 ไข่ไก่ 1-2 ฟอง และน้ำเปล่าพอประมาณ โดยผสมแป้งให้เนื้อแป้งมีลักษณะเหลวพอดี ๆ ไม่ข้นเกินไป ไม่แฉะเกินไป เสร็จแล้วนำยอดผักหวานที่ล้างสะอาดแล้วลงชุบแป้ง และนำลงทอดในกระทะที่ตั้งน้ำมันเดือดพอดี ๆ ค่อย ๆ ทอดจนแป้งผักหวานเหลือง และกรอบ นำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมันเตรียมไว้

เตรียมเครื่องยำ ประกอบด้วย ผักหวานทอดกรอบ, มะม่วงดิบสับฝอย, แครอทสับฝอย, กะหล่ำปลีม่วงซอย, ปลากรอบตัวเล็ก, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ถั่วลิสงจีนแกะเปลือก, น้ำมะนาว, พริกขี้หนูหั่น และน้ำยำ ซึ่งเป็นสูตรของร้านเอง

การทำน้ำยำผักหวาน 1 กก. ตั้งหม้อสเตนเลสเคี่ยวน้ำตาลทราย 500 กรัมให้ละลาย ตามด้วยน้ำปลาดี ประมาณ 150 กรัม น้ำส้มสายชู ประมาณ 150 กรัม ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสดพอประมาณ ชิมให้มีรสเค็ม เปรี้ยว หวาน

วิธีปรุงเป็น “ยำผักหวานกรอบ” ใส่ส่วนผสมที่ว่ามาข้างต้นอย่างละพอประมาณ ลงในกะละมังสเตนเลส และตักน้ำยำประมาณ 1/2 ตะบวยกะลา ใส่ลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรส จะเพิ่มเผ็ด เปรี้ยว หรือรสอะไรก็ให้สอบถามความชอบลูกค้าว่าต้องการรสใดมากเป็นพิเศษ ลูกค้าต้องการรสชาติใดก็ปรุงรสชาติเพิ่มตามที่ลูกค้าต้องการ

ส่วนราคาขายนั้น “ยำผักหวานกรอบ” ขายราคาชุดละ 40 บาท โดยมีต้นทุนต่อชุดประมาณ 30 บาท

สำหรับ “ส้มตำผักหวานกรอบ” ส่วนประกอบก็มี ผักหวานทอดกรอบ, ถั่วฝักยาวหั่นฝอย, มะเขือเทศราชินี, น้ำมะนาว, แครอทหั่นฝอย, กระเทียมสับ, พริกขี้หนูสับ, ถั่วลิสงคั่วเม็ด, ถั่วลิสงคั่วบุบ, กุ้งแห้ง และน้ำส้มตำ สูตรของทางร้าน

น้ำส้มตำ เป็นการเคี่ยว ผสมกันระหว่างน้ำมะขามเปียก 500 กรัม, น้ำตาลปี๊บ ประมาณ 150 กรัม, น้ำปลาดี ประมาณ 150 กรัม และปรุงรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวเพิ่มเติมอีกพอประมาณ

วิธีปรุงเป็น “ส้มตำผักหวานกรอบ” ใช้วิธีใส่ส่วนผสมข้างต้นอย่างละพอประมาณลงในกะละมังสเตนเลส ตักน้ำยำประมาณ  3/4 ตะบวยกะลา ใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรส ซึ่งก็เช่นเดียวกับยำผักหวานกรอบ คือให้สอบถามความชอบลูกค้าว่าต้องการรสใดมากเป็นพิเศษ ลูกค้าต้องการรสชาติใดก็ปรุงรสชาติเพิ่มตามที่ลูกค้าต้องการ

ราคาขาย “ส้มตำผักหวานกรอบ” ขายราคาชุดละ 40 บาท โดยมีต้นทุนต่อชุดประมาณ 30 บาทเช่นกัน
 
ร้านครัวผักหวาน ของ เล็ก เจตสุวรัตนมณี ซึ่งขาย “ยำผักหวานกรอบ” และ “ส้มตำผักหวานกรอบ” รวมถึงเมนูจากผักหวานอื่น ๆ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 22/3 ต.สร่างโศก อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 08-1991-5731 ซึ่งการนำผักที่ได้รับความนิยมรับประทานมาสร้างสรรค์เป็นเมนูต่าง ๆ ขาย นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ

http://www.dailynews.co.th/article/384/137135

Friday, July 13, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ที่หุ้มแก้ว’ ‘กันน้ำ’

อาชีพประดิษฐ์สินค้างานฝีมือนอกจากต้องมีความประณีต และรู้จักสร้างความสะดุดตาให้ชิ้นงานแล้ว การมองหาช่องทาง การช่างสังเกต ก็เป็นอีกเคล็ดลับที่ทำให้ผู้ผลิตชิ้นงานหลายรายประสบความสำเร็จ อย่างเช่นชิ้นงานของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ “ภัทรพล เรืองศรี-รัชนก พุมมา” ชิ้นงาน “ที่หุ้มแก้วกันน้ำ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ภัทรพลเล่าว่า สินค้าที่ผลิตขึ้นนั้นเกิดจากแนวความคิดของตนและหุ้นส่วนที่อยากจะผลิต สินค้าขึ้นมาเพื่อทำเป็นอาชีพเสริม โดยมองไปที่สินค้าประเภทของใช้ บวกกับความหลงใหลในงานผ้าและชื่นชอบลวดลายของผ้าเป็นอย่างมาก จึงทดลองประดิษฐ์และพัฒนาสินค้าของตนเองขึ้น ตั้งแต่งานหมอนตุ๊กตา, กระเป๋าใส่ของ, กระเป๋าใส่ไอแพด
ต่อมามองว่าตนเองมักมีปัญหาจากหยดน้ำจากแก้วน้ำเย็นบนโต๊ะทำงาน จึงคิดว่าหากแก้วน้ำที่วางบนโต๊ะมีที่หุ้มก็น่าจะช่วยลดปัญหาในเรื่องนี้ได้ จึงเกิดเป็นชิ้นงาน “ที่หุ้มแก้วกันน้ำ” นี้ขึ้นมา
  “เกิดจากความต้องการแก้ปัญหา เนื่องจากเป็นคนที่ซื้อกาแฟทานเป็นประจำ สังเกตว่าบนโต๊ะทำงานจะเปียกน้ำจากแก้วกาแฟเสมอ จึงเกิดไอเดียว่าถ้าทำที่หุ้มสำหรับสวมแก้วก็น่าจะลดปัญหาโต๊ะทำงานเปียกน้ำ ได้ จึงลองประดิษฐ์ชิ้นงานจนกลายเป็นที่หุ้มแก้วน้ำนี้ขึ้นมา ปรากฏว่าเมื่อลองนำออกจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้า” ภัทรพลกล่าว
หลังจากผลิตสินค้าออกมา ก็พยายามปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและการใช้งานมากยิ่ง ขึ้น โดยคุณสมบัติของที่หุ้มแก้วกันน้ำ คือสามารถซับน้ำได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าไม่เปียกมือ และหยดน้ำจากแก้วน้ำหรือแก้วกาแฟก็ไม่เปียกหรือเปรอะเปื้อนโต๊ะทำงาน และไม่เป็นอันตรายกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานอีกด้วย นอกจากนี้ ที่หุ้มแก้วกันน้ำยังสามารถปรับระดับตามความสูงของแก้ว รวมถึงสามารถที่จะถอดออกมาซักล้างได้ด้วย
“ส่วนมูลค่าเพิ่มที่ลูกค้าให้ความเห็นมาคือ ที่หุ้มแก้วยังช่วยเก็บความเย็นจากแก้วได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย บางรายบอกว่าซื้อน้ำมาตั้งแต่ตอนเช้า ตอนบ่ายน้ำในแก้วก็ยังเย็นอยู่เลย” ภัทรพลกล่าว
สินค้าที่ผลิตขึ้นมาขายนั้น ไม่มีหน้าร้านขาย อาศัยการขายผ่านเว็บไซต์เป็นหลัก คือที่ www.mindmoody.com ซึ่งข้อดีของการจำหน่ายวิธีนี้คือ ลูกค้าสามารถเปิดชมตัวอย่างสินค้าได้โดยตรง อีกทั้งประหยัดต้นทุนในเรื่องของการลงทุนเปิดร้านไปได้มาก ซึ่งเหมาะกับผู้ทำธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่ ส่วนภัทรพลและหุ้นส่วนนอกจากจะผลิตที่หุ้มแก้วกันน้ำขายแล้ว ก็ยังมีรายได้เพิ่มจากการรับจ้างผลิตสินค้าตามที่ลูกค้าสั่ง อาทิ เพิ่มลายปักชื่อของลูกค้า หรือเพิ่มตัวการ์ตูน เป็นต้น
“ตอนนี้ที่หุ้มแก้วกันน้ำหลัก ๆ มีอยู่แบบเดียว คือขนาดความสูงเท่าแก้วกาแฟขนาดใหญ่ทั่วไป ความสูงประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาหากแก้วกาแฟจะเล็กลง เพราะสามารถที่พับลงมาให้มีขนาดเล็กลงตามแก้วได้ สำหรับลาย ส่วนใหญ่ลายที่ลูกค้านิยมจะเป็นลายจุด ลายตาราง ลายดอกไม้ และลายการ์ตูน นอกจากนี้ก็มีที่สั่งปักชื่อตัวเองหรือแฟน”
ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 40,000 - 50,000 บาท เป็นค่าเครื่องมือ หลัก ๆ คือจักรเย็บผ้า และค่าสต็อกวัสดุ ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคาขาย ซึ่งอยู่ที่ชิ้นละ 99-199 บาท หรือขึ้นกับรายละเอียดที่ลูกค้าสั่งทำเพิ่ม
อุปกรณ์-วัสดุอุปกรณ์ในการทำชิ้นงาน นอกจากจักร ก็ประกอบด้วย กรรไกร, คัทเตอร์, เข็ม-ด้าย, ผ้าลวดลายต่าง ๆ, ผ้าสักหลาด และอุปกรณ์สำหรับตกแต่งชิ้นงาน อาทิ กระดุมผ้า, กระดุมไม้, กระดุมมุก, ลูกปัด หรืออื่น ๆ
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบรูปทรงและขนาดของที่หุ้มแก้ว โดยเริ่มจากการวาดแบบลงบนกระดาษ จากนั้นทำสินค้าตัวต้นแบบโดยการนำผ้ามาทาบกับแก้วขนาดที่ต้องการจะทำ แล้วนำมาลอกลายลงบนกระดาษสำหรับใช้เป็นต้นแบบหรือแพทเทิร์นในการตัด นำกระดาษต้นแบบที่ได้มาทาบลงบนผ้าลาย และผ้าสักหลาด จากนั้นทำการตัดขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ เตรียมไว้ ขั้นต่อไปก็ลงมือทำการเย็บโดยให้ผ้าสักหลาดอยู่ด้านใน ผ้าลายอยู่ด้านนอก ทำการเย็บด้วยมือหรือจักรเพื่อขึ้นทรง ทำการตกแต่งรายละเอียดด้านนอกตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ “ที่หุ้มแก้วกันน้ำ”
“ที่หุ้มแก้วกันน้ำสามารถใช้งานได้ทั้งสองด้าน หรือหากเปียกเกินไปก็สามารถที่จะคลี่ด้านในออกมาผึ่งลมหรือตากแดดให้แห้งได้ หรือหากแก้วมีความเตี้ยกว่าก็สามารถพับทบด้านในออกมาให้มีขนาดที่เตี้ยหรือ สั้นลงตามขนาดความสูงของแก้วได้ตามต้องการ” เจ้าของชิ้นงานกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้กล่าว

ใครสนใจชิ้นงานลักษณะนี้ ลองเปิดเข้าไปดูตามเว็บไซต์ที่ระบุไว้ข้างต้น หรือต้องการติดต่อเจ้าของชิ้นงานก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-6508-9088 หรืออีเมล์ mindmoody@gmail.com ซึ่ง “ที่หุ้มแก้วกันน้ำ” นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ที่รู้จักมองความต้องการจากชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นสินค้าเด่นที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
  
ศิริโรจน์  ศิริแพทย์ : เรื่อง-ภาพ
.....................................................................................
คู่มือลงทุน...ที่หุ้มแก้วกันน้ำ
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 40,000-50,000 บาท
ทุนวัสดุ  ประมาณ 60% จากราคาขาย
รายได้  ราคาขายชิ้นละ 99-199 บาท
แรงงาน  1 คนขึ้นไป
ตลาด  เน้นที่กลุ่มพนักงานออฟฟิศ
จุดน่าสนใจ นำความต้องการใช้มาทำเงิน

http://www.dailynews.co.th/article/384/135761

Saturday, July 7, 2012

แนะนำอาชีพ “ส้มตำหน่อไม้”

ส้มตำมีขายทั่วไป และยุคนี้มีการพลิกแพลงหลายรูปแบบ มีการหาจุดแปลกใหม่ให้เป็นสไตล์ตัวเอง บางรายค้าขายอาหารอยู่แล้วก็ใช้อุปกรณ์และวัตถุดิบที่มีอยู่สร้างเมนูส้มตำ ขึ้นมาทำเงินได้อย่างน่าสนใจ อย่างเช่นเมนู “ส้มตำหน่อไม้” ที่ทางทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอเป็นกรณีศึกษากันในวันนี้...
  
ธนมน เงินบำรุง หรือ น้ำฝน ทำข้าวคลุกน้ำพริกหลาย ๆ แบบขายอยู่ ต่อมาเธอก็ใช้อุปกรณ์ทำกินคือครกและสากทำ “ส้มตำหน่อไม้” ขายเพิ่มเติม ปรากฏว่าส้มตำหน่อไม้ของเธอนั้นได้รับการตอบรับอย่างดีทีเดียว โดยธนมนบอกว่า ทำข้าวคลุกน้ำพริกขายมานาน จนคิดอยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แตกยอดผลิตภัณฑ์อาหารออกไปจากที่เคยทำอยู่

คิดดังนั้นแล้วก็มองว่าครกและสากที่เป็นอุปกรณ์ทำกินประจำตัวนั้น สามารถทำส้มตำขายได้ด้วย แต่ถ้าจะทำส้มตำทั่ว ๆ ไป ก็มีการทำขายกันเกลื่อนไปหมดอยู่แล้ว ไม่แปลก จึงมองหาวัตถุดิบใหม่ที่จะทำให้ส้มตำไม่เหมือนใคร

จึงเลือก “หน่อไม้ไผ่บงหวาน” พันธุ์เพชรน้ำผึ้ง เป็นส่วนผสมหลักของส้มตำ

“มีพี่ที่รู้จักกันแนะนำหน่อไม้พันธุ์นี้มาว่าเข้ากับส้มตำได้ จึงทดลองทำดู เมื่อทดลองทำแล้วก็พบว่าหน่อไม้ไผ่บงหวาน พันธุ์เพชรน้ำผึ้ง สามารถเข้ากับเครื่องส้มตำได้จริง ๆ” ธนมนเล่า

สำหรับอุปกรณ์ในการทำในการขายส้มตำ หลัก ๆ ก็มี ครก, สาก, ทัพพี, มีด, จาน, ชาม, ตะกร้า ,หม้อ และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดในครัวเรือน ซึ่งถ้าลงทุนครั้งแรกก็น่าจะประมาณไม่เกิน 5,000 บาท

ส่วนผสมส้มตำ ต่อครกก็มี หน่อไม้ไผ่บงหวาน, มะเขือเหลือง 1 ลูก, มะเขือเทศเล็ก 2-3 ลูก, มะนาว 1 ลูก, กระเทียมไทย 1-2 กลีบ, พริกขี้หนูสวน 5 เม็ด, ปูม้าเล็ก 2 ตัว, น้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ (เมืองเพชร)

น้ำปลาร้าที่ใช้นั้น ธนมนเล่าว่า บ้านที่ จ.นครราชสีมา ก็หมักปลาร้าขายอยู่แล้ว แต่น้ำปลาร้าที่จะมาใส่ในส้มตำหน่อไม้ในแบบฉบับของเธอนั้นจะต้องไปปรุงรส ก่อนจึงจะนำมาใช้

การเตรียมน้ำปลาร้า ก็ติดไฟตั้งหม้อ ใส่น้ำปลาร้า พอน้ำปลาร้าเดือดใส่ตะไคร้ทุบ ข่าทุบ ใบมะกรูดฉีก ลงไปในปริมาณที่กะดูว่าพอดีกับน้ำปลาร้าที่ใช้ ปรุงรสด้วยผงชูรสเล็กน้อย เคี่ยวไปจนเดือด พอส่วนผสมเข้ากันเท่านี้ก็พร้อมใช้

วิธีทำ “ส้มตำหน่อไม้” เริ่มที่ตำกระเทียมไทยและพริกสวนให้เข้ากัน บีบน้ำมะนาว พร้อมกับหั่นลูกมะนาวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไป จากนั้นหั่นมะเขือเหลืองเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไป ตามด้วยหั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไป

ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บนิดหน่อย น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่ปูม้าซึ่งแกะกระดองและหักตัวออกเป็นชิ้น ๆ ลงไปคลุก แล้วตักน้ำปลาร้าใส่ลงไป 2 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสชาติดูให้ได้ที่ตามต้องการ

เสร็จแล้วก็หั่นหน่อไม้ไผ่บงหวานลงไปคลุกให้เข้ากัน ชิมรสอีกครั้งหนึ่ง เท่านี้ก็ใช้ได้ พร้อมขายพร้อมเสิร์ฟกับ เส้นหมี่ขาวลวก ไข่ต้ม โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว กินแกล้มกับผักบุ้งนา และกะหล่ำปลีสด

“ส้มตำหน่อไม้” เจ้านี้ขายในราคาชุดละ 50 บาท โดยมีต้นทุนชุดละประมาณ 25-30 บาท

“ส้มตำที่ทำขายจะเน้นขายทั้งความแปลก และรสชาติที่อร่อย ซึ่งส้มตำแบบนี้ต้องทำรสชาติเข้มข้น แบบนัว ๆ ซึ่งคำว่าแบบนัว ๆ ในความหมายคือ เค็ม เปรี้ยว เผ็ด แต่ไม่ออกหวาน ไม่เน้นน้ำเยอะ พอขลุกขลิก และมีเนื้อปลาร้าผสมด้วย” ธนมนกล่าว
 
นอกจาก “ส้มตำหน่อไม้” แล้ว น้ำฝน-ธนมน เงินบำรุง ยังทำส้มตำอีกหลาย ๆ แบบขาย อาทิ ส้มตำปลากรอบ, ส้มตำไข่เค็ม, ส้มตำหอยนา ฯลฯ ซึ่งใครต้องการติดต่อก็ติดต่อทางโทรศัพท์ได้ที่ โทร. 08-6724 –2993

http://www.dailynews.co.th/article/384/134739

Friday, July 6, 2012

แนะนำอาชีพ “พวงกุญแจ”

พวงกุญแจถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าใช้งานที่ขายได้เรื่อย ๆ บางคนก็ซื้อเป็นของขวัญของฝากด้วย โดยสินค้าชนิดนี้ก็มีอยู่หลากหลายแบบ แตกต่างกันไปตามแต่จะคิดประดิษฐ์กัน ซึ่งแม้ตลาดพวงกุญแจจะมีคู่แข่งอยู่แล้วไม่น้อย แต่หากคิดทำพวงกุญแจออกมาสู่ตลาดโดยสร้างสรรค์ให้มีเอกลักษณ์แตกต่างจากราย อื่นได้ ช่องทางทำเงินก็ย่อมจะมี อย่างเช่น “พวงกุญแจไฟฉาย” ที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...
                               
โอ-ตติยะ จูฑะพุทธิ เจ้าของธุรกิจพวงกุญแจไฟฉาย ภายใต้แบรนด์ “AIKO” เล่าว่า ก่อนที่จะมาเริ่มจับธุรกิจทำพวงกุญแจไฟฉายอย่างจริงจังนั้น ทำงานประจำเป็นพนักงานกินเงินเดือนอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีโอกาสได้เข้าทำงานกับบริษัทอีกแห่งหนึ่งที่เป็นของชาวอเมริกัน เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการผลิตพวงกุญแจ ซึ่งจากการที่ได้ทำงานที่บริษัทนี้ก็มีโอกาสได้เรียนรู้งานด้านการผลิตพวง กุญแจ และได้บินไปประเทศจีนเพื่อไปดูตลาดสำหรับสั่งซื้อวัสดุ แต่หลังจากทำงานอยู่กับบริษัทนี้ได้ระยะหนึ่งบริษัทก็ปิดตัวลง ก็เลยมีความคิดที่จะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าลงทุน เพราะคิดว่าตนเองยังไม่มีประสบการณ์ จึงยังไม่ได้ทำ และก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายในบริษัทอีกแห่งหนึ่ง

การทำงานขายนั้น ก็ต้องมานั่งเครียดเรื่องยอดขาย ภายหลังจึงอยากจะลองเสี่ยงทำธุรกิจเป็นของตัวเองดู ก็คิดว่าพวงกุญแจเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด พอจะมีความรู้ มีประสบการณ์ และที่สำคัญก็รู้แหล่งที่จะจัดซื้อวัสดุอยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มต้นธุรกิจ เริ่มแรกเป็นการนำเข้าพวงกุญแจสำเร็จรูป นำมาพิมพ์ชื่อลูกค้าลงบนพวงกุญแจ พอทำธุรกิจได้ระยะหนึ่งก็เห็นว่าพวงกุญแจนั้นส่วนหนึ่งมีการซื้อไปแจก ไปให้คนอื่นอีกทอด คนที่ได้ไปก็ไม่ค่อยได้นำไปใช้งานเป็นพวงกุญแจ จึงคิดว่าน่าจะทำให้พวงกุญแจดูมีคุณค่า และดูน่ารัก จึงคิดทำ “พวงกุญแจไฟฉาย” ขึ้นมา โดยเพิ่มฟังก์ชั่นให้พวงกุญแจ ด้วยการใส่ชุดหลอดไฟ LED เข้าไปในพวงกุญแจ และทำพวงกุญแจเป็นรูปตัวการ์ตูนต่าง ๆ ที่ดูน่ารัก

“แรก ๆ ที่ทำออกจำหน่ายก็ยังไม่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากนัก เนื่องจากตอนนั้นหลอด LED ยังไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรามากนัก ทำให้ต้นทุนหลอดไฟสูง ราคาพวงกุญแจก็ต้องสูงตามไปด้วย แต่มาระยะหลัง ๆ ราคาหลอดไฟ LED ลดลง เราก็จำหน่ายพวงกุญแจไฟฉายในราคาที่ถูกลงได้ ทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากขึ้นเป็นลำดับ”

ขั้นตอนการทำชิ้นงานนั้น โอบอกว่า เนื่องจากทำเป็นจำนวนมาก ก็จะใช้วิธีการออกแบบและทำการเย็บตัวอย่างเป็นแบบขึ้นมา 1 ชิ้น แล้วนำไปจ้างกลุ่มแม่บ้านทำ ซึ่งค่าแรงก็จะตกอยู่ที่ราว ๆ ชิ้นละ 10-15 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย และจำนวนของชิ้นงานที่สั่งทำ (สำหรับผู้ที่คิดจะทำขายในจำนวนที่ไม่มาก ก็สามารถจะเย็บเองขายเองได้)”

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “พวงกุญแจไฟฉาย” นั้น หลัก ๆ ก็มี ชุดไฟฉาย, ผ้าสักหลาด, อุปกรณ์ในการตัดเย็บ จำพวก เข็ม ด้าย กรรไกร, ห่วงพวงกุญแจ, ใยสังเคราะห์

“ชุดไฟฉายนั้นเรานำเข้าจากจีน ประกอบด้วยหลอดไฟ LED ขนาด 0.5 มิลลิเมตร และถ่านขนาด 4.5 โวลต์ ราคาก็ตกอยู่ที่ชุดละ 12-15 บาท แต่ถ้าไม่มีแหล่งที่จะนำเข้า ถ้าพอจะมีความรู้ด้านช่าง ก็สามารถไปซื้ออุปกรณ์พวกหลอดไฟ LED และถ่านไฟฉาย ได้ที่ย่านตลาดคลองถม แล้วนำมาประกอบทำเองก็ได้” โอกล่าวแนะนำ

สำหรับขั้นตอนการทำ “พวงกุญแจไฟฉาย” เริ่มจากทำการออกแบบรูปการ์ตูนที่ต้องการจะทำเป็นพวงกุญแจก่อน ซึ่งการออกแบบจะออกแบบบนคอมพิวเตอร์ หรือจะวาดแบบลงบนกระดาษก็ได้

“การออกแบบนั้นเราจะใช้วิธีการออกแบบลงบนคอมพิวเตอร์ เพราะว่าจะได้เห็นสีสันและสามารถเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบสีของชิ้นงานที่เรา จะทำออกมาได้ง่ายขึ้น” โอกล่าวถึงวิธีการออกแบบในส่วนของเขา

หลังจากที่ออกแบบแล้ว ก็ตัดแพตเทิร์นตามแบบ แล้วนำแพตเทิร์นไปวางทาบบนผ้าสักหลาดเพื่อร่างแบบ เลือกสีผ้าตามที่ออกแบบไว้ จากนั้นก็ทำการตัดผ้าตามแบบที่ร่างไว้
ตัดผ้าตามแบบ 2 ชิ้น จากนั้นนำแบบผ้าทั้ง 2 ชิ้นมาเย็บประกบกัน เย็บให้เกือบรอบ แต่ให้เหลือช่องไว้พอประมาณเพื่อจะทำการยัดใยสังเคราะห์เข้าไปในช่องที่เว้น ไว้ ยัดใย
สังเคราะห์ให้แน่นพอประมาณ แต่ไม่ให้พองหนาจนเกินไปนัก เมื่อยัดใยสังเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ก็นำชุดไฟฉายใส่เข้าไปโดยให้ส่วนหัวของหลอดไฟ LED โผล่พ้นออกมาด้านนอกเล็กน้อย แล้วก็เย็บปิดช่องที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นจึงทำการตกแต่งใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงบนตัวการ์ตูนตุ๊กตา แล้วก็ใส่ห่วงพวงกุญแจเข้าไป ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
 
ขนาดของพวงกุญแจที่โอทำนั้น จะประมาณไม่เกิน 5x7 ซม. เพื่อให้พวงกุญแจไม่ใหญ่และไม่เล็กเกินไป ง่ายในการพกพา โดยราคาขายนั้น ราคาขายส่ง 300 ชิ้นขึ้นไปอยู่ที่ตัวละประมาณ 70-80 บาท และนอกจากพวงกุญแจไฟฉายที่เป็นตัวการ์ตูน-ตุ๊กตาผ้าสักหลาดแล้ว โอก็ยังมีสินค้าอีกหลากหลาย อาทิ พวงกุญแจที่เป็นแบบเคลือบเรซิ่น แม็กเน็ตรูปการ์ตูน แฟลชไดร์ฟรูปการ์ตูน ฯลฯ
                                  

’พวงกุญแจไฟฉาย“ นี้ โอ-ตติยะทั้งทำขายส่ง รับทำตามออร์เดอร์ลูกค้า รับสั่งทำไปใช้เป็นของชำร่วย โดยมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อสอบถามคือ โทร.08-9109-1471 หรือเข้าไปดูสินค้าได้ที่เว็บไซต์ www.i-style-product.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ จาก “พวงกุญแจ” ที่มีการสร้างจุดต่าง จนสร้างรายได้อย่างน่าพอใจ.

http://www.dailynews.co.th/article/384/134498