Saturday, September 29, 2012

แนะนำอาชีพ “ไอศกรีมน้อยหน่า”

“ไอศกรีม” เป็นหนึ่งในของหวานที่คนไทยทุกเพศทุกวัยนิยมรับประทาน ยิ่งเมืองไทยเราเป็นเมืองร้อน การทำไอศกรีมขายยิ่งเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำการขาย “ไอศกรีมน้อยหน่า” ไอศกรีมผลไม้ ไอศกรีมโฮมเมด ไขมันต่ำ เพื่อสุขภาพ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่โดดเด่น มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...
 
ศักดิ์สุกฤต นาคบัว หรือ โอ เป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด ยี่ห้อ “J.Homemade” ผลิตและขายไอศกรีมผลไม้ ชายหนุ่มผู้นี้นำความรู้สมัยเรียนปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ และปริญญาโทด้านบริหาร มาผสมผสานเข้ากับความชอบของตัวเอง จนกระทั่งได้ผลผลิตออกมาเป็นไอศกรีมแสนอร่อย และอุดมไปด้วยคุณค่าของผลไม้ไทย ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า เบื่อหน่ายกับงานประจำที่เคยทำ ก็เลยเฟ้นหากิจกรรมที่ชอบ ก็พบว่าตัวเองสนใจไอศกรีม คิดว่าน่าจะขายได้ เพราะบ้านเราอากาศร้อน ประกอบกับที่บ้านมีสวนผลไม้อยู่ที่จันทบุรี ก็เป็นการช่วยนำผลไม้ที่สวนมาแปรรูปด้วย

“ผมหาเวลาว่างไปเรียนการทำตามสถาบันต่าง ๆ ซึ่งสูตรที่เรียนมาบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ จึงต้องนำมาปรับพลิกแพลงและพัฒนาอยู่นานเป็นปี จนได้สูตรไอศกรีมผลไม้ไขมันต่ำ คนที่ได้ชิมบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย จึงร่วมหุ้นทำธุรกิจนี้กับรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจคือ พ.ต.ท.เจนกมล คำนวล รองผู้กำกับฯอยู่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยนำไอศกรีมที่ทำไปเสนอตามร้านอาหารที่ยังไม่มีขนมหวาน เสียงตอบรับดีมาก เพราะเป็นไอศกรีมเพื่อสุขภาพ อุดมไปด้วยคุณค่าจากผลไม้แท้ 100% ไม่แต่งสีไม่แต่งกลิ่น ไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ไม่ใส่สารกันบูด รสชาติหวานเย็นหอมมันพอดี กลมกล่อมอร่อยแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ชอบทานไอศกรีม แต่ห่วงเรื่องสุขภาพ”

คุณโอบอกอีกว่า ไอศกรีมที่ทำมีหลายรสชาติให้เลือก แต่ตัวที่ทำตลาดได้ดี ขายดิบขายดีคือ น้อยหน่า มังคุด สละ ซึ่งในส่วนของ “ไอศกรีมน้อยหน่า” เป็นสูตรดั้งเดิมที่ได้รับถ่ายทอดจากคุณย่าและคุณแม่ นำมาปรับสูตรให้เหมาะสมกับการผลิตในปัจจุบัน ใส่เนื้อน้อยหน่าเป็นชิ้น ๆ ไอศกรีมแต่ละถ้วยมีปริมาณเนื้อไม่น้อยกว่า 30% ในการทำก็ควบคุมความสะอาดทุกขั้นตอนการผลิตให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน จนได้รับเครื่องหมาย อย. และเมื่อมั่นใจในรสชาติ และความสะอาด ปลอดภัย จึงเริ่มทำออกจำหน่ายอย่างจริงจังเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันอุปกรณ์ที่จำเป็น ต้องมีในการทำไอศกรีม หลัก ๆ ก็ได้แก่ เครื่องปั่นไอศกรีม ที่เหลือก็จะเป็นอุปกรณ์ทั่วไป เช่น หม้อ เครื่องตวง เตาแก๊ส ทัพพี ฯลฯ ซึ่ง “ไอศกรีมน้อยหน่า” ที่จะยกตัวอย่างวิธีทำนั้น ส่วนผสมที่ใช้ในการทำก็มี มะพร้าว, ผลไม้สด คือ น้อยหน่า, น้ำตาลทราย

ขั้นตอนการทำ “ไอศกรีมน้อยหน่า” เริ่มจากการนำผลน้อยหน่าที่เตรียมไว้มาคว้านเอาแต่เนื้อ ใส่ภาชนะพักไว้ เตรียมมะพร้าวที่ขูดใหม่ใส่กะละมัง นำน้ำร้อนที่เดือดพล่านราดใส่ลงไป ทิ้งไว้สักครู่พอให้คลายร้อน จึงทำการคั้นกรองด้วยกระชอนและผ้าขาวบาง 2 -3 ครั้งให้ได้น้ำกะทิในปริมาณตามที่ต้องการ ใส่น้ำตาลทรายลงในกะทิ คนให้น้ำตาลละลาย ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ตุ๋นไปเรื่อย ๆ พอเดือดยกลงกรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง ใส่เนื้อน้อยหน่าลงไป ทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนจะนำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีม ใช้เวลา 15-20 นาที ให้สังเกตดูพอเนื้อเนียนก็ใช้ได้

หลังจากปั่นจนได้ที่ ก็ทำการเทและจัดเก็บไว้ในกล่องที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำไปทำกรรมวิธีต่อไปคือการบ่ม ซึ่งการบ่มก็คือการนำไปแช่เก็บไว้เพื่อเป็นการทำให้เนื้อไอศกรีมได้เซตตัว ใช้เวลาบ่มประมาณ 6 ชั่วโมงก็ใช้ได้

สำหรับไอศกรีมผลไม้ตัวอื่น ก็จะมีส่วนผสมของน้ำและเนื้อผลไม้ที่ต้องการจะใช้ทำไอศกรีมรสชาตินั้น ๆ มาทำการแปรรูปผ่านกรรมวิธีเพื่อที่จะได้ออกมาในรูปของน้ำ ใช้น้ำผลไม้ที่ได้ประมาณ 65% ผสมน้ำสะอาดประมาณ 5% แล้วทำการต้มเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค ระหว่างต้มก็ใส่เนื้อของผลไม้นั้น ๆ ประมาณ 29% ใส่ไขมันจากพืชคือน้ำมันมะกอก 1% และน้ำตาลเล็กน้อย ผสมลงไปต้มแค่พอเดือด จากนั้นก็ยกลงพักไว้ ผลไม้ที่นำมาทำไอศกรีมควรใช้ผลไม้ที่มีความแก่จัด เวลาทำออกมาจะได้รสชาติและกลิ่นของผลไม้นั้น ๆ อย่างเต็มที่ ส่วนขั้นตอนอื่น ๆ ก็เหมือนกับไอศกรีมน้อยหน่า

ไอศกรีมผลไม้นี้สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 6 เดือน ในอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ -18 องศาเซลเซียส
 
ราคาขายไอศกรีมน้อยหน่า และไอศกรีมผลไม้แท้อื่น ๆ เจ้านี้จะขายถ้วยละ 30 บาท มีต้นทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบประมาณไม่เกิน 60% ของราคา ปัจจุบันมีขายตามร้านอาหารชั้นนำหลายแห่ง เช่น ร้านอาหารในเครือแม่ศรีเรือน, ร้านอบอร่อย-ทาวน์อินทาวน์, ข้าวมันไก่โก๊ะตี๋, แหลมเจริญ ซีฟู้ด, สวนอาหารนาทอง ใกล้แยกเหม่งจ๋าย ฯลฯ รวมถึงร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ ร้าน Asian Corner ภายใน King Power Duty Free Down Town Complex ซอยรางน้ำ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะมีเอกลักษณ์ที่เป็นไอศกรีมผลไม้ไทยแท้ถูกใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้ประกอบการรายนี้ยังทำเงินได้จากการรับจัดเป็นของว่างตามงานประชุม สัมมนา และออกงานต่าง ๆ ด้วย
 
ใครสนใจติดต่อ โอ-ศักดิ์สุกฤต ธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด “J.Homemade” ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1576-9988 และ 08-1335-8188 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” จากสินค้าอาหารที่ “เพื่อสุขภาพ” เป็นจุดเด่นจุดขายที่ดี.

http://www.dailynews.co.th/article/384/157992

Friday, September 28, 2012

แนะนำอาชีพ "หุ่นพิมพ์ 3 มิติ"

งานศิลปะ-งานประดิษฐ์ในปัจจุบัน นอกจากจะแข่งขันกันที่เรื่องของรูปแบบความสวยงามแล้ว เทคโนโลยีก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์ชิ้นงาน ใหม่ ๆ เกิดขึ้น อย่างเช่นงาน ’หุ่นพิมพ์ 3 มิติ“ ของ ’ทรงพร ชัยศิลป์วัฒนา“ ที่มีการนำภาพถ่ายกับเทคโนโลยีมาใช้เพื่อผลิตชิ้นงาน เป็นอีกกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าสนใจ...
                             
เจ้าของชิ้นงาน ’หุ่นพิมพ์ 3 มิติ“ ที่ว่านี้ เล่าว่า เรียนจบทางศิลปะและชอบงานปั้นหุ่นมาก แต่งานประเภทนี้ต้องใช้ระยะเวลานานเพราะมีกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะออกมา เป็นหุ่นสักตัวหนึ่ง อีกทั้งราคาต่อชิ้นงานก็มักจะมีราคาแพง ทำให้ไม่ค่อยแพร่หลายสำหรับบุคคลทั่วไปนัก จนต่อมาเมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พัฒนาและแพร่หลายขึ้น จึงเริ่มมีธุรกิจที่เกี่ยวกับการตกแต่ง โดยนำภาพของคนมาแทรกเข้ากับฉากหรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว

ประกอบกับได้เห็นงานปั้นหุ่นขนาดเล็ก แต่เป็นงานในลักษณะภาพล้อเลียนหรือตัวการ์ตูน จึงคิดว่าหากนำเทคโนโลยีมาผสานเข้ากับงานปั้นหุ่น น่าจะเป็นช่องทางในการทำอาชีพหรือธุรกิจได้ จึงตัดสินใจทดลองค้นคว้าและพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ จนเกิดเป็นเทคโนโลยีสำหรับการพิมพ์หุ่นพิมพ์ 3 มิติเสมือนต้นแบบนี้ขึ้น โดยใช้เวลาในการพัฒนามานาน 10 กว่าปี และขณะนี้ก็ได้ทำการจดอนุสิทธิบัตรเพื่อให้เป็นสิ่งประดิษฐ์จากฝีมือคนไทย เรียบร้อยแล้ว

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ประกอบไปด้วยเครื่องสแกนภาพต้นแบบหรือตัวแบบที่สแกนได้ทั้งตัวหรือเฉพาะส่วน ใบหน้า กับเครื่องพิมพ์ที่ใช้ในการพิมพ์ใบหน้าหรือหุ่นตัวแบบได้โดยตรงจากการสั่ง งานผ่านโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์

“เทคโนโลยีตัวนี้เกิดขึ้นเพื่อทดแทนการปั้นที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ข้อดีคือ สะดวกรวดเร็วกว่า โดยจะเป็นการพิมพ์ซ้อนทับจนหุ่นหรือใบหน้าตัวแบบนูนขึ้น และเพิ่มสีหรือลงรายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้าได้เหมือนคนจริงมากที่สุด แม้กระทั่งแววตา ที่สำคัญราคาต่อหนึ่งชิ้นงานก็ยังถูกกว่างานปั้น” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

ทรงพรระบุอีกว่า เหตุที่คิดจับทำธุรกิจตัวนี้ขึ้นมา เนื่องจากมองว่าทุกคนต่างต้องการสิ่งที่จะทำให้หวนระลึกถึงเพื่อเก็บไว้เป็น ความทรงจำ โดยเฉพาะช่วงเวลาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ งานรับปริญญา, งานแต่งงาน, งานเกษียณ นอกจากนี้ยังมองไปที่ตลาดของที่ระลึก นักท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาเรามักจะพบแต่ชิ้นงานอย่างเช่น ภาพถ่าย, ภาพวาด, ตุ๊กตาปั้น ซึ่งงานหุ่นพิมพ์ 3 มิตินี้ ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับเก็บบันทึกช่วงเวลาดี ๆ นั้นไว้

รูปแบบชิ้นงานที่มีการทำอยู่ แบ่งออกเป็นหุ่นชนิดต่าง ๆ อาทิ หุ่นคู่รัก-คู่แต่งงาน, หุ่นคอสตูม, หุ่นกีฬา, หุ่นนักศึกษา-ชุดรับปริญญา, หุ่นฮีโร่, หุ่นคนชรานั่งเก้าอี้โยก, หุ่นนักธุรกิจ และหุ่นครึ่งตัว โดยตลาดของชิ้นงานอยู่ในกลุ่มของขวัญ ของที่ระลึก และของตกแต่ง ซึ่งทำให้มีตลาดจำหน่ายชิ้นงานที่กว้างมาก คือตั้งแต่ร้านเวดดิ้ง, นักศึกษา, วัยทำงาน, ข้าราชการ และนักท่องเที่ยว ส่วนขนาดนั้นมีตั้งแต่ 7 นิ้ว ไปจนถึง 18 นิ้ว

ทุนเบื้องต้นธุรกิจนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดและทำเลของกิจการ โดยมีอุปกรณ์เครื่องมือหลายอย่างที่จำเป็นต้องฝึกฝนและประกอบติดตั้ง ซึ่งเครื่องมือวัสดุหลัก ๆ ประกอบด้วย เครื่องสแกนภาพ 3 มิติ, เครื่องพิมพ์หุ่น, แป้งและสีที่เป็นชุดเฉพาะสำหรับผลิตชิ้นงาน ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 40% ของราคาขาย ซึ่งมีตั้งแต่  3,500 บาทขึ้นไป ขึ้นกับขนาดของหุ่นขั้นตอนการทำ กระบวนการผลิตหุ่นพิมพ์ 3 มิตินี้ เริ่มจากนำเครื่องสแกน 3 มิติ (3D) มาสแกนใบหน้าหรือลำตัวต้นแบบในมุมต่าง ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดลักษณะโครงสร้าง สีหน้า สีผิว รูปร่าง แววตา จากนั้นนำข้อมูลที่เก็บได้จากเครื่องสแกน 3 มิติไปเข้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อประเมินผลด้วยการประกบภาพ ซ้อนใบหน้าหรือรูปร่างท่าทางนั้นเข้าด้วยกัน เพื่อกำหนดและตกแต่งเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ ให้สมบูรณ์คล้ายต้นแบบมากที่สุด

เมื่อได้ต้นแบบที่ต้องการแล้วจึงทำการป้อนคำสั่งไปยังเครื่องพิมพ์หุ่น 3 มิติ ซึ่งสามารถพิมพ์ได้ตั้งแต่ใบหน้า ศีรษะ หรือทั้งตัว โดยขั้นตอนต่าง ๆ ใช้เวลาตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรายละเอียดและขนาดของหุ่นพิมพ์ที่ต้องการ
“จุดขายอยู่ที่ความรวดเร็ว ความเหมือนของสีผิวและโครงร่าง ซึ่งหากเป็นร้านถ่ายภาพที่มีสตูดิโออยู่แล้วก็สามารถที่จะนำเทคโนโลยีตรงจุด นี้ไปติดตั้ง สามารถที่จะต่อยอดเพิ่มเป็นสินค้า เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า และเพิ่มกำไรให้ธุรกิจเดิมได้อย่างดี ซึ่งที่ร้านเองก็รับสั่งทำหุ่นพิมพ์ตามออร์เดอร์ นอกจากนี้หากใครสนใจที่จะลงทุนทำเป็นธุรกิจเครือข่ายของเราก็สามารถสอบถาม รายละเอียดมาได้ เพราะทางเราก็มีการทำตรงจุดนี้ด้วย” ทรงพร เจ้าของชิ้นงานกล่าว
        
ใครสนใจ ’หุ่นพิมพ์ 3 มิติ“ ดูเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ www.papme.net ต้องการติดต่อกับทรงพร ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2512-3322 หรืออีเมล papme@live.com และผู้ประกอบการรายนี้ยังมีร้านต้นแบบคือ ร้านแพบมี ชั้น 2 ห้อง s169 ห้างสรรพสินค้าเจเจมอลล์จตุจักร โดยมีการบอกกับทางเรามาด้วยว่า ใครที่สนใจ หากอ่านเจอจากคอลัมน์นี้ ถือคอลัมน์นี้ไปที่ร้านด้วย ทางร้านจะมีสิทธิพิเศษให้ในฐานะแฟนตัวจริงของคอลัมน์ช่องทางทำกิน หนังสือพิมพ์เดลินิวส์.

http://www.dailynews.co.th/article/384/157790

Saturday, September 22, 2012

แนะนำอาชีพ 'พานพุ่มเลื่อม'

เก็บตกจากงาน “ตลาดนัดภูมิปัญญาไทยสร้างอาชีพ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ระหว่างวันที่ 11-12 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งภายในงานมีการสอนและสาธิตงานศิลปะประดิษฐ์หลายอย่าง และอย่างหนึ่งที่ทีม “ช่องทางทำกิน” นำข้อมูลมานำเสนอให้ได้พิจารณากันในวันนี้ คือ “พานพุ่มเลื่อม” ที่มีสีสันสวยงาม ซึ่งใครทำได้ประณีตก็อาจทำเงินได้...
          
จริยา ชื่นตา วิทยากรผู้ฝึกสอนการทำ “พานพุ่มเลื่อม” บอกว่า รับฝึกสอนการทำพานพุ่มเลื่อมนี้มา 5 ปีแล้ว โดยหลังจากเกษียณอายุจากการเป็นครูที่วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานีเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก็หาเวลาว่างหลังเกษียณตระเวนฝึกอาชีพตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งก็ทำได้หลายอย่าง อาทิ แพ็กเกจการบูร แพ็กเกจเม็ดหอม แพ็กเกจผงถ่าน พานพุ่ม ฯลฯ เมื่อทำได้แล้วก็รับสอนต่อ ซึ่งก็สอนมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน

“อย่างพานพุ่มเลื่อมนี้ก็ไปเรียนมาจากกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พอทำได้ก็ปรับรูปแบบและขนาดให้ถูกใจของตัวเอง และก็รับสอน ซึ่งก็มีคนสนใจมาก” จริยา เล่า   
วัสดุ–อุปกรณ์ในการทำพานพุ่มเลื่อม หลัก ๆ ก็มี โฟมรูปหยดน้ำ (ก้นแบน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซม. สูงประมาณ 9 ซม., เม็ดเลื่อมกลม (มีหลายสี อาทิ ฟ้า ชมพู ม่วง ขาว ทอง เงิน ฯลฯ) กาวลาเท็กซ์ หรือกาวแท่ง พร้อมปืนกาว, พานเงิน-พานทอง โดยเลือกใช้ขนาดของพานที่ฐานกว้าง 10 ซม., เม็ดพลาสติกสีเงิน-สีทอง ไล่เรียง 3 ขนาด เล็ก-กลาง-ใหญ่, ดอกเลื่อม และด้าย–เข็มเย็บผ้า วัสดุ-อุปกรณ์เหล่านี้หาซื้อได้ที่สำเพ็ง ซึ่งเป็นย่านค้าส่งขนาดใหญ่ วิธีทำ เริ่มที่นำโฟมมาทากาวที่ฐาน แล้วแปะบนพาน จับโฟมให้ตั้งตรง เสร็จแล้วนำเลื่อมที่เลือกสีแล้วมาแตะกาวแล้ววางบนโฟม โดยเริ่มแปะเลื่อมที่บริเวณยอดก่อน เรียงเป็นแนวนอน โดยเรียงเลื่อมให้ซ้อนเหลื่อมกันเล็กน้อย จนครบรอบ โดยให้ด้านริมขวาของเลื่อมแผ่นสุดท้ายไปซ้อนอยู่ใต้ด้านริมซ้ายของเลื่อม แผ่นแรกของแถว ทำแบบนี้ในแถวที่ 2, 3, 4, 5 ไปเรื่อย ๆ จนถึงฐานของโฟมที่ติดกับขอบพาพอดี     นำดอกเลื่อมที่เลือกสีแล้วมาแปะติดบน โฟมที่แปะเม็ดเลื่อมแล้ว โดยแปะเป็นรูปพวงมาลัย ซึ่งจะขึงเส้นด้ายเป็นแนวพวงมาลัยไว้ก่อน เพื่อกันไม่ให้แนวพวงมาลัยเบี้ยวเวลาแปะดอกเลื่อม โดยด้านล่างของพวงมาลัยจะสูงจากขอบพานประมาณ 1 นิ้ว การทำพวงมาลัยนี้จะใช้ดอกเลื่อมประมาณ 16-18 ดอก แล้วใช้เลื่อมเม็ดเล็กที่สุดมาทำเป็นเกสร โดยวางบนกึ่งกลางของดอกเลื่อม แปะด้วยกาว  
จากนั้นนำดอกเลื่อม 12 ดอก มาบีบให้เป็นดอกแย้ม เตรียมไว้ เสร็จแล้วทำพู่ห้อย 3 สาย โดยใช้เข็มร้อยด้ายร้อยเม็ดเงินหรือเม็ดทองสลับดอกแย้ม ทำแบบนี้ 3 สาย โดยให้แต่ละสายยาวประมาณ 7 ซม. แล้วนำพู่ห้อยทั้ง 3 สายมามัดรวมกัน มัดติดลวดเสียบไปในโฟมตรงกึ่งกลางฐานพวงมาลัย แล้วนำดอกแย้มมาปิดบริเวณที่เสียบพู่เพื่อความสวยงาม
ส่วนยอดโฟม ให้นำลวดยาว 4.5 นิ้ว มาร้อยลูกปัดจากใหญ่ไปหาเล็ก สลับกับดอกเลื่อม ส่วนขนาดความยาวตามความต้องการ แล้วปิดหัวด้วยการงอปลายลวดลงให้ชิดกัน ส่วนลวดด้านล่างให้แปะกาวแล้วนำไปเสียบบนยอดโฟม เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการทำพานพุ่มเลื่อมแบบคร่าว ๆ แต่การตกแต่ง การใช้สีของเม็ดเลื่อม ดอกเลื่อม ลูกปัด ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ที่ทำจริยาบอกว่า พานพุ่ม 1 คู่ ใช้เวลาทำประมาณ  6 ชั่วโมง ราคาขายอยู่ที่คู่ละ 300 บาท มีต้นทุนไม่เกิน 100 บาท ซึ่งหากใครมีฝีมือในการทำ และมีแหล่งจำหน่าย นี่ก็นับว่าเป็นชิ้นงานที่มีกำไรดีพอสมควร
                   
ใครสนใจเรื่อง “พานพุ่มเลื่อม” ต้องการติดต่อ จริยา ชื่นตา ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-9822-9491 ซึ่งงานประดิษฐ์ในกลุ่มภูมิปัญญาไทยนั้น ยุคปัจจุบันก็หวนกลับมาเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้หลากหลายเช่นกัน.

http://www.dailynews.co.th/article/384/156691

แนะนำอาชีพ ‘พวงกุญแจรูปสัตว์’

ตลาดงานแฮนด์เมดมีการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ตลาดมีการแข่งขันกันสูง สินค้าแฮนด์เมด แม้จะเป็นงานขายไอเดียจินตนาการ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองหาจุดขาย สร้างความแตกต่างให้กับสินค้า ผู้ผลิตงานจำเป็นต้องมีการตื่นตัวปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งกับเจ้าของงาน ’พวงกุญแจรูปสัตว์“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ จะนำเสนอในวันนี้ ก็เช่นกัน...

“เทวินทร์ แก้วสมบัติ” เจ้าของงาน “พวงกุญแจรูปสัตว์” เล่าว่า เรียนทางด้านออกแบบนิเทศศิลป์ ช่วงนั้นก็ทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย โดยทำงานออกแบบจัดหน้าหนังสือ หลังจากเรียนจบก็ทำงานจัดหน้าหนังสืออยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็เริ่มเบื่อ อยากลองเปลี่ยนงานดู จึงหันมาทำงานเกี่ยวกับงานโปรดักส์ดีไซน์ ออกแบบแพ็กเกจจิ้ง เป็นการเปลี่ยนสายงานไปเลย เพราะการออกแบบแพ็กเกจจิ้งเป็นงานที่มีการขึ้นรูป มีมิติ ไม่เหมือนกับการออกแบบหน้าหนังสือ
  
หลังจากที่หันมาทำงานออกแบบ  แพ็กเกจจิ้ง ก็มีความรู้สึกว่าชอบ ก็ไปเรียนหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเอามาใช้กับงานที่ทำอยู่ ทำงานออกแบบแพ็กเกจจิ้งมากว่า 20 ปี ทำงานเป็นพนักงานบริษัทมานาน ที่สุดก็เริ่มอยากเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองบ้าง ช่วงแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ก็ตัดสินใจออกมารับงานออกแบบอิสระ ทำงานของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้มีเวลามากขึ้น จนวันนี้ก็ออกมาทำงานของตัวเองได้ประมาณ 3 ปีแล้ว
  
เมื่อมีเวลาว่าง ก็มานั่งคิดทำงานหารายได้เสริม ก็คิดที่จะทำอะไรหลายอย่าง จนมาลงตัวที่งานพวงกุญแจรูปสัตว์ เป็นงานแฮนด์เมดทำมือทุกขั้นตอน ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “tewindesigns” โดยออกแบบตัวสัตว์ให้ออกมาเป็นเอกลักษณ์ สร้างจุดเด่นให้กับสินค้า นอกจากนั้นก็ทำแพ็กเกจกล่องใส่พวงกุญแจด้วย เพื่อให้สินค้าดูดี น่าสนใจ และมีคุณค่ามากขึ้น
  
กว่าที่จะได้รูปสัตว์ต่าง ๆ เพื่อที่จะทำเป็นพวงกุญแจ ก็ใช้เวลาออกแบบหลายรอบ ปรับแก้แบบอยู่ประมาณ 2-3 รอบกว่าที่จะได้แบบที่ต้องการ ซึ่งต้องละเอียดในการออกแบบ ตัวการ์ตูนต้องออกมาดูแล้วมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง
  
วัสดุที่ใช้ทำพวงกุญแจรูปสัตว์ หลัก ๆ ก็มี...ผ้ายืด, ใยสังเคราะห์ (ใยโพลีเอสเตอร์), ห่วงเหล็ก (สำหรับทำห่วงกุญแจ) ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ ก็เป็นพวก กรรไกร, เข็มหมุด, เข็ม-ด้าย
  
การลงทุนในเบื้องต้นเพื่อที่จะทำงานนี้ ใช้ทุนประมาณ 5,000 บาท
  
เทวินทร์บอกว่า ที่ใช้ผ้ายืดทำก็เพราะว่าผ้ายืดสามารถยืดหยุ่นได้ดี เวลาทำแล้วสามารถแต่งเข้ารูปได้ง่าย ลวดลายผ้าก็สวย ที่สำคัญเวลาทำรูปตัวการ์ตูนสัตว์ออกมาแล้วดูสวย ซึ่งยังไม่ค่อยมีใครนำผ้ายืดมาใช้ทำกัน โดยผ้า 1 เมตรสามารถทำการ์ตูนรูปสัตว์ได้ประมาณ 10 กว่าตัว
  
ขั้นตอนการทำ...เริ่มจากทำการออกแบบรูปการ์ตูนสัตว์ต่าง ๆ ที่ต้องการจะทำเป็นพวงกุญแจในคอมพิวเตอร์ หรือจะใช้วิธีวาดแบบลงบนกระดาษก็ได้ จากนั้นนำแบบที่ออกแบบไว้มาทำการตัดแพทเทิร์นลงกระดาษแข็ง
  
ถัดมาก็ทำการเลือกผ้า เลือกลวดลายและสีตามที่ต้องการ เลือกผ้าได้แล้วก็ตัดผ้าให้เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความสูงประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนความยาวนั้นแล้วแต่แบบของการ์ตูนที่ออกแบบ เมื่อทำการตัดผ้าเรียบร้อยแล้วก็ทำการพับผ้าแบ่งครึ่ง ใช้เข็มหมุดกลัดให้เรียบร้อย กันผ้าเลื่อน
  
เวลาพับผ้าแบ่งครึ่ง จะต้องทำการจัดผ้าให้เรียบร้อย โดยลายของผ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังนั้นจะต้องตรงกัน เพื่อที่เวลาทำตัวการ์ตูนรูปสัตว์ออกมาแล้วจะได้ดูสวย
  
เมื่อเตรียมผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็นำแพทเทิร์นที่ต้องการจะทำมาวางลงบนผ้า วาดตามแบบแพทเทิร์นจากนั้นก็ทำการเย็บตามรอยวาด โดยการเย็บจะต้องเย็บให้แน่นหนาและมีความถี่ หลังจากที่เย็บเกือบครบรอบ โดยเหลือช่องว่างไว้ประมาณหนึ่ง ก็ใช้กรรไกรตัดผ้าตามแบบ โดยตัดห่างจากที่ส่วนเย็บประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้นยัดใยสังเคราะห์เข้าไปในช่องที่เว้นไว้ ทำการยัดให้แน่นพอประมาณ อย่ายัดจนแน่นเกินไป
  
ยัดใยสังเคราะห์เสร็จก็ทำการเย็บปิดรูที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็ทำห่วงสำหรับใช้ใส่ห่วงเหล็ก โดยการใช้ด้ายเย็บทำเป็นห่วงด้านบนหัวการ์ตูนสัตว์ ซึ่งด้ายที่ทำนั้นจะต้องให้เน้นหนาแข็งแรง จากนั้นก็นำห่วงเหล็กมาใส่ แล้วก็ใส่กิ๊บหลาย ๆ อันสำหรับใช้เกี่ยวกับกุญแจที่จะมาใส่ สุดท้ายก็เป็นการจัดใส่แพ็กเกจที่เป็นกล่องทรงสามเหลี่ยม เป็นอันเสร็จ
  
“พวงกุญแจรูปสัตว์” ของเทวินทร์นั้น นอกจากจะใช้เป็นพวงกุญแจแล้ว ยังทำเป็นที่ห้อยมือถือหรือห้อยกระเป๋าก็ได้ มีหลากหลายแบบ เช่นพวก 12 นักษัตร และรูปสัตว์อื่น ๆ โดยมีราคาขายอยู่ที่ชิ้นละ 139 บาท ถ้าลูกค้าให้จัดส่งให้ก็มีค่าส่งอีก 30 บาท ซึ่งเจ้าของงานนี้บอกว่าสั่งแค่ 1 ชิ้นก็ส่ง

สนใจ ’พวงกุญแจรูปสัตว์“ เข้าไปชมแบบสินค้าได้ที่ www.tewin designs.com หรือต้องการจะสั่งซื้อไปใช้ หรือไปจำหน่ายต่อ ก็ติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-9929-6908 โดยเทวินทร์ บอกว่าถ้าจะสั่งออร์เดอร์ครั้งละเยอะ ๆ ก็ต้องโทรฯไปคุยกันล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะ “ช่องทางทำกิน” รูปแบบนี้เป็นงานทำมือ ก็ต้องใช้เวลาทำนานหน่อย.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

..........................................

คู่มือลงทุน...พวงกุญแจรูปสัตว์

ทุนเบื้องต้น    ประมาณ 5,000 บาท
ทุนวัสดุ        ประมาณ 60% ของราคา
รายได้        ราคา 139 บาท / ชิ้น
แรงงาน        1 คน
ตลาด        ลงขายผ่านอินเทอร์เน็ต
จุดน่าสนใจ    ทุนต่ำ, ทำเป็นอาชีพเสริมได้

http://www.dailynews.co.th/article/384/156468

Sunday, September 16, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ขายอาหารทะเล’

“อาหารทะเล” หรือ “ซีฟู้ด” อาหารจำพวกกุ้ง ปู ปลา หอย นำมาลวก นึ่ง ปิ้ง ย่าง ฯลฯ ปัจจุบันมีการเปิดร้านขายอยู่ทั่วไป มีทั้งเหลา ร้านใหญ่ ร้านกลาง ร้านเล็ก หรือแม้แต่ร้านรถเข็นก็ทำได้ขายได้ อย่างไรก็ดี การจะประสบความสำเร็จได้นั้น จะร้านแบบไหนก็ล้วนต้องมีหลักการทำธุรกิจ-หลักการทำอาชีพที่เหมาะสม ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีกรณีศึกษา “ร้านขายอาหารทะเล” มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...
 
เฮียเหลา-เฉลา เรื่องลอยขำ เจ้าของร้านอาหารทะเล “ครัวยุพิน ซีฟู้ด” ย่านบางขุนเทียน ซึ่งมีประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารทะเลมานานกว่า 10 ปี แนะนำว่า การเปิดร้านขายอาหารทะเลนั้น จุดสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็มีตั้งแต่ ทำเลที่เหมาะสม เช่นที่ร้านเองก็จะอยู่ในทำเลที่มีบรรยากาศทะเล มีโซนให้ลูกค้าเลือกนั่งรับลมชมวิวในขณะรับประทานอาหาร และ ตกแต่งร้านแนวทะเล เพื่อตอกย้ำอารมณ์แบบทะเล
  
สำหรับอุปกรณ์ ก็ ต้องมีอุปกรณ์พร้อม อาทิ จาน ชาม ช้อน ส้อม เขียง มีด ทัพพี ถาด หม้อสำหรับนึ่ง เตาถ่าน เตาแก๊ส กะละมัง กระทะ ตะแกรง คีมคีบ ไม้ทุบหรือที่หนีบก้ามปู หม้อสเตนเลสขนาดต่าง ๆ เครื่องปั่น ครกหิน ฯลฯ
  
ในส่วนของอาหาร ก็จะ ต้องมีเมนูหลัก ๆ ให้ครบถ้วน ซึ่งสำหรับที่ร้านนี้ เมนูที่ลูกค้าทุกโต๊ะมาแล้วต้องสั่งคือ ปลากะพงทอดราดน้ำปลา ใช้ปลากะพงตัวโตสด ๆ นำมาแบะแล้วทอดจนเหลืองกรอบ ราดด้วยน้ำปลาที่ปรุงรสเป็นพิเศษ เสิร์ฟพร้อมกับยำมะม่วง เนื้อปลาต้องสดหวาน กรอบนอกนุ่มใน ชุ่มด้วยรสชาติที่ออกเค็มนิด ๆ ของน้ำปลาที่ราดมา รับประทานคู่กับยำมะม่วงส้มรสเปรี้ยวกำลังดี หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซบ ๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน
   
เมนูไฮไลต์ประจำร้านอาหารทะเลนั้น ก็เช่น ส้มตำปูม้าดอง, ส้มตำปูไข่ดอง, ปูผัดผงกะหรี่, ปูผัดพริกไทยดำ, ปูไข่หลน, ปูผัดไข่เค็ม, ยำปูดอง, แกงส้มปูไข่, แกงส้มหน่อไม้ดอง, ปูอบวุ้นเส้น, กุ้งเผา, กุ้งแช่น้ำปลา, กุ้งพล่า, หอยหลอดผัดฉ่า, หอยแมลงภู่อบ, ยำหอยแครง, ออส่วนกรอบ, ออส่วนนิ่ม, ปลาหมึกผัดไข่เค็ม, ทะเลผัดผงกะหรี่, กุ้งหลน, โป๊ะแตก, ต้มยำปลาทูน้ำข้น, ต้มแซบปลาทู ฯลฯ ซึ่งตัวอย่างเมนูต่าง ๆ เหล่านี้ร้านของเฮียเหลามีพร้อม
  
และเมนู หอยนางรมทรงเครื่อง ก็เป็นอีกเมนูเด็ดที่ควรจะมี หอยนางรมต้องคัดไซซ์ใหญ่เป็นพิเศษ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงครบครัน ทั้งกระถิน น้ำพริกเผา หอมเจียว พริกขี้หนูสด กระเทียมซอย มะนาว โดยที่หอยนางรมต้องสดจริง ๆ
  
กุ้ง ปู ปลา หอย ฯลฯ วัตถุดิบต่าง ๆ ต้องเน้นความสดเป็นหลัก ต้องเชื่อถือได้ในเรื่องคุณภาพ ความสะอาด และวัตถุดิบประกอบต่าง ๆ ก็ต้องเลือกเกรดดี จึงจะปรุงแต่งเป็นอาหารทะเลรสชาติอร่อยที่ลูกค้าติดใจ
  
“ผมกับครอบครัวเป็นคนพื้นที่บางขุนเทียน รู้ว่ามีแหล่งอาหารทะเลสด ๆ คุณภาพเกรดเออยู่ที่ไหนบ้าง ปูทะเลก็มีทั้งปูไข่ ปูเนื้อ ปูม้า กุ้งก็จะเน้นกุ้งแชบ๊วยตัวโต ๆ หอยก็จะเป็นพวกหอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่ ปลาก็จะเป็นปลากะพง ปลาทู ปลาหมึก และ คนปรุงอาหารก็สำคัญ ต้องมีฝีมือ ซึ่งที่ร้านได้คนในพื้นที่มาเป็นพ่อครัว ซึ่งจะ รู้เทคนิคว่าอาหารทะเลชนิดใดควรเผา ปิ้ง ย่าง นึ่ง ทอด ปรุงแบบไหนถึงจะอร่อย ใช้เครื่องปรุงอะไรถึงจะเข้ากัน”
     
เฮียเหลาแนะนำ พร้อมทั้งบอกต่อไปว่า ที่จะร้านจะ มีอาหารทะเลสด ๆ ตัวเป็น ๆ ให้ลูกค้าได้เลือก ว่าต้องการตัวไหน ขนาดไหน ปริมาณเท่าไหร่ ชั่งกันเห็น ๆ คิดตามราคา จะให้ปรุงเป็นเมนูอะไรก็สั่งทางร้านได้เลย
  
ทั้งนี้ การปรุงอาหารทะเลนั้น เฮียเหลาบอกว่า โดยส่วนใหญ่แล้วต้องนำวัตถุดิบมาล้างให้สะอาดก่อน พักไว้สะเด็ดน้ำ ถ้าต้องการเผา ปิ้ง ย่าง ควรใช้เตาถ่าน ที่ให้ความร้อนกำลังดีและร้อนเสมอทั่วกัน โดยต้องหมั่นพลิกกลับไปกลับมา ให้แค่พอสุก พอมีกลิ่นหอม ก็เป็นอันใช้ได้ ส่วนการลวก เช่น หอยแครงลวก การลวกต้องลวกในน้ำเดือด ลวกแค่พอสุกแล้วนำขึ้นมาจุ่มในน้ำเย็น จากนั้นเทใส่ภาชนะ ก็เป็นอันใช้ได้ พร้อมจัดเสิร์ฟให้กับลูกค้า
  
ในส่วนของน้ำจิ้มนั้น แน่นอนว่า น้ำจิ้มซีฟู้ดต้องรสแซบจัดจ้าน โดยส่วนผสมที่ใช้ก็ได้แก่ พริกขี้หนูสวน, มะนาวสด, กระเทียมสด, โหระพา, รากผักชี, น้ำเชื่อม, น้ำปลา โดยนำกระเทียมสดแกะเปลือก รากผักชี พริกขี้หนูสวน โหระพา น้ำเชื่อม น้ำปลา น้ำมะนาว ใส่ลงในเครื่องปั่น ทำการปั่นให้ละเอียด ชิมรสชาติให้แซบ กลมกล่อม
  
เรื่องราคาก็สำคัญเช่นกัน ราคาอาหารต้องเหมาะสม ซึ่งสำหรับร้านของเฮียเหลา อาหารทั่วไปมีราคาตั้งแต่ 80 ถึง 200 บาท อาหารทะเลสดตัวเป็น ๆ ราคาก็เริ่มต้นที่ 80 ไปจนถึง 600 บาท แล้วแต่ว่าเป็นอะไร น้ำหนักเท่าไหร่
  
เหล่านี้ก็เป็นหลักการทำธุรกิจ-หลักการทำอาชีพ “ร้านขายอาหารทะเล” ซึ่งเงินลงทุนเบื้องต้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบร้าน ส่วนทุนอาหารเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบนั้น อยู่ที่ประมาณ 50% ของราคา
 
“ร้านอาหารทะเล” ร้าน “ครัวยุพิน ซีฟู้ด” เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-21.00 น. เบอร์โทรศัพท์คือ โทร. 0-2452-3777, 08-3448-5118 และนอกจากขายที่ร้านแล้ว ร้านอาหารทะเลก็ยังสามารถจะมี “ช่องทางทำกิน” เสริมได้อีกจากการรับจัดเลี้ยงงานต่าง ๆ ซึ่งอาชีพนี้ธุรกิจนี้ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย สำหรับคนที่คิดจะทำกินจากร้านอาหาร.

คู่มือลงทุน...ขายอาหารทะเล

ทุนเบื้องต้น    ขึ้นอยู่กับรูปแบบและขนาดร้าน
ทุนวัตถุดิบ     ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้          ราคาขายจานละ 80 บาทขึ้นไป
แรงงาน        ขึ้นอยู่กับรูปแบบและขนาดร้าน
ตลาด           ตั้งร้านขายในทำเลที่เหมาะสม
จุดน่าสนใจ    แม้จะลงทุนสูงแต่รายได้ก็สูงด้วย


http://www.dailynews.co.th/article/384/155348

Friday, September 14, 2012

แนะนำอาชีพ ตราปั๊มยางลบ'

งานศิลปะบางแขนงสามารถนำวัสดุบางอย่างมาผนวกเข้ากับงานฝีมือบางประเภทได้ อย่างน่าสนใจ นอกจากจะโดดเด่นด้วยความสวยงามแล้ว ลักษณะเฉพาะของการรวมจุดเด่นของงานแต่ละด้านก็นับว่าเป็นจุดขายสำคัญที่ทำ ให้สินค้ามีความต่าง สร้างจุดขายให้กับชิ้นงาน อย่างเช่นการแกะสลักยางลบจนกลายเป็นชิ้นงาน ’ตราปั๊มจากยางลบ“...
                       
“ปัชชา ทิพย์พญาชัย” เล่าว่า เรียนมาทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ สาขาศิลปะอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เดิมเป็นคนชอบงานประดิษฐ์กับงานฝีมือมาตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อมามีโอกาสได้เห็นงานแกะสลักยางลบ เกิดความสนใจ และอยากจะเรียนรู้ จึงพยายามหาข้อมูลตามแหล่งต่าง ๆ และลองซื้อยางลบเพื่อนำมาลองฝึกหัดการแกะสลักด้วยตัวเอง จนมีทักษะและความชำนาญในงานฝีมือชนิดนี้ ประกอบกับหลายคนที่ได้เห็นก็ชมว่าสวยและแปลกดี อยากให้ทำให้บ้าง และเกิดความคิดว่างานฝีมือตรงนี้สามารถที่จะนำมาทำเป็นอาชีพเสริมได้ จึงลองออกแบบเป็นลวดลายการ์ตูนน่ารัก ๆ แล้วขายผ่านทางเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า www.facebook.com/pages/Gomugomu

จากจุดเริ่มต้น ต่อมาก็ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากกลุ่มลูกค้า เพราะ “ตราปั๊มจากยางลบ” นี้ลูกค้าสามารถนำไปใช้ต่อยอด เพื่อความสวยงาม เพิ่มลูกเล่นให้กับชิ้นงานเดิม ๆ ของลูกค้าได้นั่นเอง...

“มีหลายชื่อเรียก แต่ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่าตราปั๊มจากยางลบ ไม่ก็ ตัวปั๊มยางลบ ภาษาอังกฤษจะอ่านว่า รับเบอร์-แสตมป์ ส่วนเหตุผลที่คิดว่าน่าจะสามารถพัฒนาเป็นอาชีพได้ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นของเล็ก ๆ ที่ปัจจุบันอาจยังไม่มีคนรู้จักมากนัก แต่กำลังจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ดูจากจำนวนลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเพื่อสั่งทำชิ้นงาน เนื่องจากชิ้นงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายอย่าง” เจ้าของชิ้นงาน เจ้าของกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้กล่าว

สำหรับลูกค้า ปัชชาเล่าว่า ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ทำชิ้นงานของตัวเองอยู่แล้ว แต่อยากได้ตราปั๊มยางลบไปช่วยเพิ่มเติมสีสันให้กับชิ้นงาน อาทิ นำไปปั๊มทำลวดลายสำหรับการ์ดต่าง ๆ นำไปปั๊มตกแต่งสมุดภาพ หรือสแครปบุ๊ก (Scrapbook) นำไปมอบเป็นของขวัญ หรือของชำร่วยในงานแต่งงาน หรือแม้แต่นำตราปั๊มยางลบไปปั๊มลงบนใบเสร็จ บนถุง บนกล่องบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งมีการนำไปปั๊มสร้างลายลงบนเสื้อผ้า เป็นต้น โดยจุดเด่นของทางร้านก็คือจะรับออกแบบตามที่ลูกค้าต้องการด้วย และตัวปั๊มก็จะมีแป้นไม้ที่ติดไว้เพื่อเป็นด้ามจับ ซึ่งแป้นไม้นั้นทางร้านทำขึ้นเอง

“สินค้าที่ทำมี 2 ประเภท คือ ตราปั๊มที่เป็นลายที่ลูกค้าต้องการ มีทั้งแบบที่ลูกค้านำมาให้ทำ กับแบบที่เราออกแบบให้ และอีกประเภทคือตราปั๊มที่เป็นลายเจาะจงที่ทางร้านทำขึ้นมาเองเป็นคอลเลก ชั่น” ปัชชากล่าว

ทุนเบื้องต้นสำหรับการทำชิ้นงานลักษณะนี้ ใช้ประมาณ 500-1,000 บาทก็สามารถทำได้แล้ว ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนไปกับการซื้อยางลบหลาย ๆ แบบมาทดลองทำ และเก็บเป็นสต๊อกไว้ใช้  ขณะที่ทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 20% จากราคาขาย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 99 ไปจนถึง 200 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดยางลบและความยากง่ายของแบบ

วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “ตราปั๊มจากยางลบ” หลัก ๆ ประกอบด้วย ยางลบ, คัตเตอร์ปากกา หรือคัตเตอร์ธรรมดาก็ได้, แผ่นรองตัด, กระดาษลอกลาย หรือกระดาษไข และดินสอ

สำหรับยางลบนั้น แล้วแต่ว่าจะชอบเนื้อยางลบแบบไหน บางคนอาจชอบแบบนิ่ม บางคนอาจชอบแบบแข็ง ซึ่งยางลบที่นำมาใช้ก็เป็นยางลบธรรมดาทั่วไป แต่ต่างยี่ห้อก็จะมีความแตกต่างกัน ทั้งขนาดและความนิ่มความแข็ง ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนทั่วไป แต่หากต้องการยางลบสำหรับการแกะโดยเฉพาะก็อาจไปซื้อตามร้านจำหน่ายสินค้าจาก ประเทศญี่ปุ่น แต่ราคาจะค่อนข้างสูงหน่อย “และการจะปั๊มลายนั้นอีกอย่างที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ หมึกพิมพ์ เพราะหมึกแต่ละชนิดก็จะเหมาะกับการพิมพ์หรือปั๊มลงบนวัสดุแต่ละอย่าง” ปัชชากล่าวแนะนำผู้สนใจ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากวาดรูปลงกระดาษไขหรือกระดาษลอกลาย โดยอาจลอกลายที่ต้องการจากหนังสือ จากนั้นนำกระดาษที่วาดลายเรียบร้อยแล้วคว่ำลงไปบนยางลบที่จะใช้แกะ ใช้นิ้วมือหรือก้นดินสอถูให้ลายติดลงบนยางลบ จากนั้นจึงเริ่มแกะยางลบโดยใช้คัตเตอร์ธรรมดา หรือคัตเตอร์ปากกา ตามแบบหรือลายที่ลอกไว้ หลังจากแกะเสร็จ ก็ให้ทดลองปั๊มดูก่อน ถ้าลายเส้นที่แกะครบตามแบบหรือลายที่ต้องการ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“จุดที่ยากที่สุดคือการทำเส้นให้ดูคมชัดและเท่ากัน เช่น ลูกตาของตัวการ์ตูน จุดที่ง่ายคือการแกะรูปอะไรก็ได้ที่มีพื้นที่ในการแกะทิ้งน้อยที่สุด หากสามารถฝึกฝนเพิ่มเติมอยู่เสมอ ทักษะก็จะพัฒนาเพิ่มขึ้นแน่นอน” เจ้าของชิ้นงานแนะนำ
ใครสนใจ ’ตราปั๊มจากยางลบ“  ก็เข้าไปดูได้ตามช่องทางที่ระบุมาข้างต้น และสามารถจะติดต่อเจ้าของกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ได้ทางอีเมล gomugomuhango@gmail.com หรือที่ โทร.08-6685-1117 ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งชิ้นงานจากวัสดุชิ้นเล็ก ๆ ที่สามารถสร้างงานทำเงินได้อย่างน่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/article/384/155083

Saturday, September 8, 2012

แนะนำอาชีพ “ขนมช่อม่วง”

ขนมไทยมีหลายชนิดที่ทำได้ยาก เพราะมีขั้นตอนการทำที่ค่อนข้างพิถีพิถันและประณีตพอสมควร จึงไม่ค่อยเห็นตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งมีบางคนได้ฝึกหัด ดัดแปลงทำขนมไทยทำยากหลาย ๆ ชนิดให้กลายเป็นธุรกิจรับจัดเลี้ยง และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ดี วันนี้มาดูกรณีตัวอย่าง กับ “ขนมช่อม่วง” ...
 
เนาวรัตน์ เจาวัฒนา หรือ เหมียว เจ้าของบริษัท ทเวลซีสอาหารและเครื่องดื่ม จำกัด ซึ่งทำธุรกิจรับจัดเลี้ยง เล่าว่า เดิมทำงานด้านสื่อ โฆษณา และการตลาด ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความที่ไม่ชอบถูกสั่งถูกว่าจากลูกค้า และอยากจะมีเวลากับครอบครัวให้มากขึ้น เธอจึงตัดสินใจมองหาธุรกิจใหม่ทำ ซึ่งจากการทำงานจัดงานอีเวนต์จึงรู้ว่ายังมีช่องว่างสำหรับธุรกิจอยู่ และมีแม่ และน้องที่รู้จักกัน ที่มีฝีมือในการทำอาหารและขนมไทยแบบชนิดหาตัวจับยาก จึงหาความรู้ และไปหัดทำกับแม่และน้องที่รู้จัก ฝึกปรือฝีมือจนชำนาญ และเริ่มทำธุรกิจทันที

ขนมที่ถูกสั่งในงานอีเวนต์ ก็มีขนมมงคลประเภทที่ชื่อมีคำว่าทอง และขนมไทยอื่น ๆ อาทิ เสน่ห์จันทร์ ปั้นสิบ ขนมจีบรูปตัวนก สาคู ฯลฯ รวมถึง “ขนมช่อม่วง” ที่จะยกตัวอย่างกันในวันนี้

อุปกรณ์ที่ใช้ทำ หลัก ๆ ก็มีกระทะทองเหลือง ลังถึง เตาแก๊ส จาน-ชามต่าง ๆ และภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในครัวเรือน

วิธีทำ เริ่มที่เตรียม ส่วนผสมแป้ง ตามสูตรมีแป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย, แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ, แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ, หัวกะทิข้น 1 ถ้วย, น้ำเปล่า 1 3/4 ถ้วย, น้ำอัญชัน 3/4 ถ้วย และใบตองสำหรับวางในลังถึงเตรียมไว้

ขั้นตอนแรก ให้ละลายแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อม กับน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน  ระวังอย่าให้แป้งจับตัวกันเป็นเม็ด

ในส่วนของน้ำอัญชัน เนาวรัตน์บอกว่า ให้เอาดอกอัญชันมาปลิดเอาแต่ดอกสีน้ำเงิน แช่กับน้ำร้อน ขยำและบีบเอากากทิ้ง ใส่น้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย ให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีม่วง แล้วนำไปใส่ในน้ำแป้งที่ละลายน้ำแล้ว 

ตั้งกระทะทองเหลือง ใช้ไฟปานกลาง ใส่แป้งที่ละลายน้ำแล้วลงไป กวนด้วยไม้พาย กวนให้เข้ากันอย่าหยุดมือ ระวังอย่าให้แป้งติดกระทะ ซึ่งใช้เวลากวนประมาณ 10-15 นาที เสร็จแล้วยกกระทะลง ตักแป้งออกจากกระทะใส่ชามพักไว้ให้แป้งคลายร้อนเมื่อแป้งเย็นลงประมาณหนึ่ง แล้ว ใช้มือแตะแป้งมันแล้วนวดให้แป้งนิ่มมือ แล้วแบ่งแป้งเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าลูกชิ้น ใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้กันลมและฝุ่นส่วนผสมของไส้ช่อม่วง มีฟักเชื่อมหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ 1/2 ถ้วย, ถั่วลิสงคั่ว 1/2 ถ้วย, น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย, งาขาวคั่วบุบพอแตก 1/2 ถ้วย, เกลือป่น 1/2 ช้อนชา, และมันหมูต้มสุกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ 1/4 ถ้วย

วิธีผัดไส้ เตรียมกระทะทองเหลือง ใช้ไฟอ่อน นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไป แล้วผัดให้เข้ากัน เมื่อไส้ร้อนก็ยกลง

วิธีปั้นแป้ง และหนีบช่อม่วง นำแป้งที่ปั้นไว้เป็นก้อนกลมมาแผ่ออกเป็นแผ่นกลมขนาดเท่ากับเหรียญ 5 บาท ตักไส้ใส่แล้วหุ้มให้มิด และปั้นให้เป็ก้อนกลมออกแบนนิด ๆ  จากนั้นนำ แหนบหนีบช่อม่วง ไปจุ่มกับแป้งมัน (ป้องกันไม่ให้แป้งติดแหนบ) แล้วหนีบแป้งให้เป็นกลีบ โดยขนมช่อม่วง 1 ชิ้น จะหนีบประมาณ 9 กลีบ แบ่งเป็นกลีบดอกไม้ด้านล่างของตัวขนมประมาณ 5-6 กลีบ  โดยใช้แหนบหนีบช่อม่วงหนีบสับหว่างกันไปให้รอบตัวขนม และหนีบตัวขนมด้านบนซึ่งเป็นส่วนของเกสร 3 กลีบ โดยหนีบแบบสับหว่างเช่นกัน  ซึ่งเมื่อหนีบเสร็จจะได้ขนมออกมาเป็นรูปดอกกุหลาบ

ขั้นต่อไปนำขนมลงไปเรียงในลังถึงซึ่งรองด้วยใบตองไว้ ทาขนมด้วยหัวกะทิ แล้วนำลังถึงไปตั้งไฟนึ่ง ใช้ไฟร้อนปานกลาง ใช้เวลานึ่งประมาณ 5 นาที เมื่อขนมสุกแล้วก็พรมด้วยหัวกะทิอีกครั้งหนึ่ง โรยหน้าด้วยใบผักชี กระเทียมเจียว และพริกชี้ฟ้าซอย รองก้นด้วยผักกาดหอม เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟ-พร้อมจำหน่าย 

จากปริมาณแป้งดังที่กล่าวมา เนาวรัตน์บอกว่า จะทำขนมช่อม่วงได้ประมาณ 20-25 ชิ้น ขายในราคาชิ้นละ 5 บาท โดยมีต้นทุนในส่วนของวัตถุดิบประมาณ 60% ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่กำไรไม่ธรรมดา
                    
ใครสนใจ “ขนมช่อม่วง” ขนมไทยต่าง ๆ ต้องการติดต่อ เหมียว-เนาวรัตน์ เจาวัฒนา ได้ที่ เลขที่ 19 ซอยสามัคคี 60/4 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี  โทร.0-2976-8942 และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน www.twelvesis.com

http://www.dailynews.co.th/article/384/154025

Friday, September 7, 2012

แนะนำอาชีพ "สายนาฬิกาข้อมือจากลูกปัด"

นาฬิกาข้อมือแฟชั่นสีสันลวดลายน่ารักมีขายอยู่ทั่วไป แต่ถ้าเพิ่มจุดขาย สร้างความน่าสนใจด้วยการเสริมแต่งใส่ไอเดียผสมผสานให้ดูสวยงามน่ารักมากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้อีก ซึ่งก็มีผู้ใช้เทคนิคการนำลูกปัดสีสันต่าง ๆ มาเรียงร้อยเป็นสายของนาฬิกาข้อมือ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และฉีกแนวสินค้าให้แตกต่างด้วยการสร้างจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จน ’สายนาฬิกาลูกปัด“ เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าสนใจ...

แป้ง-วรรณิศา บุญสถิธกุล สร้างสรรค์นำลูกปัดสีสันต่าง ๆ มาร้อยทำเป็นสายนาฬิกาข้อมือ ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Venniza Handmade เจ้าตัวเล่าว่า เรียนจบมาทางด้านบริหารการโรงแรม แต่ก็ไม่ได้ทำงานด้านที่เรียนมา โดยเลือกที่จะทำงานอิสระ เป็นพริตตี้ เป็นพิธีกร ตามงานอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งก็รับทำมาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่แล้ว ก็ทำมายาวเลย
  
ส่วนเรื่องงานประดิษฐ์งานแฮนด์เมด ก็ทำเป็นอาชีพเสริมจากงานหลักที่ทำอยู่ โดยใช้เวลาว่างช่วงที่ไม่มีงาน ที่มาจับงานประดิษฐ์เป็นอาชีพเสริมนั้น ก็เพราะว่าเป็นคนที่ชอบงานด้านการประดิษฐ์มาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ และตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็เคยทำงานพวกตุ๊กตาถุงเท้าไปวางขายเป็น รายได้เสริมด้วย แต่ก็มาหยุดทำในช่วงตอนอยู่ปี 3 เพราะเรียนหนักขึ้นและต้องทำรายงานมากขึ้น จึงไม่มีเวลาทำงานประดิษฐ์ จึงหยุดทำและก็ร้างราไป
  
หลังจากที่รับงานอีเวนต์อยู่ได้ระยะหนึ่ง และพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง จึงอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และทำงานที่ตนเองชื่นชอบ นั่นก็คือการทำงานประดิษฐ์ แต่ในช่วงแรกที่คิดจะทำก็ยังไม่รู้ว่าจะทำเป็นงานประเภทอะไรดี จนมีโอกาสได้ไปเดินตลาดแห่งหนึ่งที่เขาขายของแฮนด์เมด และเห็นว่านาฬิกาข้อมือแฟชั่นส่วนใหญ่จะทำเป็นสายหนังถักกันเยอะ จึงเกิดไอเดียมาประยุกต์ทำเป็นงานของตัวเอง นั่นก็คือนาฬิกาข้อมือที่นำลูกปัดมาร้อยเป็นสาย เพราะตนเองนั้นเป็นคนที่ชอบลูกปัดอยู่แล้ว เพราะเห็นว่าสวย มีสีสันที่สดใสสวยงาม จึงประยุกต์นำลูกปัดมาร้อยทำเป็นสายนาฬิกา
  
เมื่อได้ความคิด ได้ไอเดียในสิ่งที่จะทำจำหน่ายแล้ว ก็ลงมือทดลองทำทันที โดยออกแบบดีไซน์ และทดลองร้อยลูกปัดเพื่อเป็นสายนาฬิกาข้อมือ แรก ๆ ก็ทำไปให้เพื่อนเป็นของขวัญ และให้เพื่อน ๆ ติชม จากนั้นก็นำมาปรับแก้ตามจุดบกพร่องที่เพื่อนบอกมา ซึ่งก็ใช้เวลาในการลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 เดือน ที่สุดก็ได้แบบที่ลงตัวสำหรับนาฬิกาที่มีสายเป็นลูกปัด เป็นนาฬิกาที่มีสีสันสวยงาม และมีน้ำหนักเบาอีกด้วย
  
แป้งกล่าวต่อว่า หลังจากได้รูปแบบชิ้นงานที่ลงตัวแล้วก็เริ่มผลิตออกมาและนำไปขายตามตลาดงาน แฮนด์เมด และลงขายทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนั้นก็ยังทำกิ๊บติดผมเป็นชิ้นงานที่เพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่งด้วย ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มธุรกิจนี้มาได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว ก็สามารถสร้างรายได้เสริมได้เป็นอย่างดี
  
การทำนาฬิกาข้อมือสายลูกปัดนั้น ตัวนาฬิกาเราก็ต้องดูด้วยว่าเราจะเจาะกลุ่มลูกค้าประเภทไหน กลุ่มเด็ก ๆ ก็เน้นนาฬิกาที่เป็นลายการ์ตูน ถ้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มมัธยมไปจนถึงมหาวิทยาลัย พวกนี้ก็จะชอบนาฬิกาที่มีสีสันสดใส หรือสีหวาน ๆ ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ก็เป็นแนวสีที่ดูสุขุมหน่อย
  
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำ หลัก ๆ ก็มี ตัวเรือนนาฬิกา, ลูกปัดสีต่าง ๆ, ยางยืด โดยวัสดุอุปกรณ์ส่วนใหญ่หาซื้อได้ที่ตลาดสำเพ็งซึ่งเป็นตลาดแหล่งใหญ่ที่มี วัสดุให้เลือกซื้อได้หลากหลาย นาฬิกาที่นำมาทำนั้นก็ต้องเลือกดูที่เป็นนาฬิกาเกรดดีหน่อย เลือกลวดลายตามกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจะขาย ซื้อยกโหลก็จะได้ในราคาที่ไม่สูง ส่วนลูกปัดนั้นก็มีอยู่หลายขนาดหลายสีหลายแบบ มีทั้งลูกปัดไม้และพลาสติก ก็เลือกแบบตามต้องการ สีของลูกปัดนั้นก็ให้ซื้อหลากหลายสี โดยมีขายเป็นถุง ราคาก็แตกต่างกันไปตามชนิดของลูกปัด ของไทยหรือของนอก แต่ที่สำคัญไม่ควรซื้อลูกปัดที่ใหญ่กว่านาฬิกา
  
ทุนวัสดุอุปกรณ์ในการลงทุนทำครั้งแรก มีประมาณ 3,000-4,000 บาท ก็สามารถนำมาทำขายได้แล้ว
  
ขั้นตอนการทำ ขึ้นอยู่กับไอเดียแนวคิดของแต่ละคน โดยที่การเลือกใช้ลูกปัดนั้น ต้องให้สีเข้ากับตัวเรือนนาฬิกาเป็นสำคัญ ส่วนวิธีการทำนั้นก็เริ่มจาก... เลือกตัวเรือนนาฬิกาที่จะนำมาทำ หลังจากที่ได้ตัวเรือนนาฬิกาแล้วก็มาคัดเลือกลูกปัดสีต่าง ๆ ให้เข้ากับตัวเรือนนาฬิกา
  
เมื่อเลือกนาฬิกาและลูกปัดได้แล้ว ก็ทำการถอดสายนาฬิกาที่ติดกับตัวเรือนออกก่อน เอาแต่สายออก เก็บหมุดที่ยึดสายนาฬิกาไว้ที่เดิม จากนั้นก็นำเส้นยางยืดมัดไว้กับหมุดนาฬิกา 2 เส้น วัดให้ได้ความยาวตามที่ต้องการทั้ง 2 เส้น แล้วตัด จากนั้นนำเข็มมาร้อยไว้ที่สายยางยืด
  
ขั้นตอนต่อไปก็ทำการร้อยลูกปัดตามที่ออกแบบไว้ การร้อยลูก ปัดนั้นก็แล้วแต่ไอเดียแต่ละคน จะใช้ลูกปัดแบบกลม แบบรี ลูกปัดไม้ ลูกปัดพลาสติก เล็กใหญ่ ตามต้องการ หลังจากที่ร้อยลูกปัดเรียบร้อยแล้วก็ให้ผูกปลายยึดติดกับหมุดนาฬิกาอีกด้าน หนึ่งให้แน่นทั้ง 2 เส้น เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย
  
นาฬิกาข้อมือสายลูกปัดร้อยของแป้ง มีราคาขายอยู่ที่เรือนละ 280 บาท ส่วนต้นทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 130 บาทขึ้นไป ซึ่งต้นทุนนั้นขึ้นอยู่กับตัวเรือนนาฬิกาที่นำมาทำ และลูกปัดที่นำมาร้อย ซึ่งในส่วนของลูกปัดนั้นมีทั้งของในประเทศและของต่างประเทศ ราคาก็จะไม่เท่ากัน

ใครสนใจ ’นาฬิกาข้อมือสายลูกปัด“ ของ แป้ง-วรรณิศา สามารถเข้าไปดูสินค้าได้ที่ www.facebook.com/Venniza-Handmade หรือต้องการสั่งออร์เดอร์ไปจำหน่ายต่อเป็น ’ช่องทางทำกิน“ อีกรูปแบบหนึ่ง ก็โทรศัพท์ไปพูดคุยสอบถามกันได้โดยตรงที่ โทร. 08-2252-3195.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

..........................................

คู่มือลงทุน...นาฬิกาสายลูกปัด

ทุนเบื้องต้น    ประมาณ 3,000-4,000 บาท
ทุนวัสดุ    ประมาณ 130 บาท / เรือน
รายได้    ราคาขาย 280 บาท / เรือน
แรงงาน    1 คน
ตลาด    กลุ่มงานแฮนด์เมด, ขายผ่านเน็ต
จุดน่าสนใจ    ลงทุนไม่สูง, ขายไอเดีย-ราคาดี

http://www.dailynews.co.th/article/384/153840

Saturday, September 1, 2012

แนะนำอาชีพ “ธุรกิจร้านกาแฟ”

“Coffee Rich รวยรินกลิ่นกาแฟ รับทรัพย์แน่ แค่อบรม” กิจกรรมครั้งที่ 3 โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ซึ่ง เดลินิวส์ ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)–เซเว่นอีเลฟเว่น และ บริษัท รีเทลลิงค์ (ไทยแลนด์) จำกัด จัดอบรมการทำธุรกิจร้านกาแฟสดให้กับประชาชน “ฟรี” ไปเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2555 นั้น สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจนี้ แต่ไม่ได้เข้าร่วมอบรม วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” เราเก็บตกข้อมูลบางส่วนมานำเสนอ...
  
กิจกรรมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมได้เรียนรู้อย่างครบถ้วนกระบวนความ ทั้งทฤษฎี และปฏิบัติ โดยในส่วนของทฤษฎีนั้น คุณนริศ ธรรมเกื้อกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเทลลิงค์ ให้เกียรติเป็นผู้บรรยายหัวข้อ “ทำร้านกาแฟอย่างไรให้ยั่งยืน” ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน แต่ก็อัดแน่นด้วยความรู้ที่เป็นประโยชน์

และข้อมูลสรุปโดยสังเขป ทั้งจากที่คุณนริศบรรยาย และจากเอกสารที่มีการแจกให้กับผู้เข้าอบรม มีดังนี้คือ... การจะทำ “ธุรกิจร้านกาแฟสด” นั้น สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ประกอบด้วย... การตลาด ผู้เปิดร้านกาแฟต้องวิเคราะห์ว่า ตลาดอยู่ไหน ใครคือลูกค้า มีขนาดเท่าไร นอกจากนี้ยังต้องทราบถึงอุปนิสัย ความชื่นชอบ วิถีชีวิต พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อจะได้ทราบว่าสินค้าและบริการแบบใดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึง ราคาที่คุ้มค่าและความเหมาะสม ด้วย ว่าสำหรับลูกค้าแล้วควรอยู่ที่อัตราเท่าไร ทำอย่างไรที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ นอกจากนี้ ในส่วนของ ช่องทางที่สะดวกในการเข้าถึงสินค้าและบริการ จะเป็นอย่างไร จะใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีอะไร อย่างไร และเพราะอะไร นี่ก็สำคัญ

สำหรับ การเลือกทำเล ต้องเป็นทำเลที่เห็นตัวร้านได้ง่าย, ภาพลักษณ์ของร้านต้องดึงดูดน่าสนใจ, ต้องเป็นย่านที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหนาแน่นเพียงพอ, ที่ตั้งร้านต้องอยู่ในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ, ลักษณะทางกายภาพของร้านและทำเลก็ต้องส่งเสริมในทางบวก เช่น มีที่จอดรถ สะดวกในการเข้าร้าน

ต่อกันด้วยตัว สินค้า คือ กาแฟ การจะสร้างสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย มีข้อพิจารณาดังนี้คือ รสชาติและความสม่ำเสมอของรสชาติ มีการรับประกันคุณภาพ เช่น คุณภาพและความสดของเมล็ดกาแฟและวัตถุดิบอื่น ๆ โดยร้านที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมี สินค้าขายดี และรวมถึงมีความหลากหลายด้วย

ตามติดด้วยเรื่อง การบริการ มีข้อพิจารณาที่สำคัญคือ บริการที่ลูกค้าคาดหวัง เช่น วิธีรับออร์เดอร์, เวลาในการเตรียมสินค้า, เวลารอคอยสินค้า, ลักษณะการเสิร์ฟ, น้ำดื่มและน้ำแข็งสะอาด ตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น เวลาทำการ, การจัดร้าน, บรรยากาศภายในและภายนอกร้าน, เมนูแนะนำ, ป้ายแสดงราคา, ห้องน้ำ และบริการเสริมต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, ไวไฟอินเทอร์เน็ต และอาจต้องรวมถึงมุมสูบบุหรี่ด้วย

ในส่วนของวัสดุอุปกรณ์ประกอบการขาย โดยทั่วไปก็จะประกอบด้วย เครื่องชงกาแฟ, เครื่องบด, อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ, ตู้แช่, เมล็ดกาแฟ, แก้ว, ช้อน, ถุง, น้ำตาล, ไซรัป, ผงช็อกโกแลต, นม, หัวเชื้อ ฯลฯ

ลงลึกอีกนิด อุปกรณ์สำหรับร้านกาแฟ ที่จำเป็นก็เช่น แก้วชอท, แก้วตวง 8 ออนซ์, ช้อนตักฟองนม, ช้อนคนส่วนผสม, เทอร์โมมิเตอร์, นาฬิกาจับเวลา, แก้ว 16 ออนซ์, แก้วร้อนคาปูชิโน่, กระบะเคาะกาก, เหยือกตีฟองนม, แปรงปัดผงกาแฟขนาดเล็กและขนาดใหญ่, ขวดโรยผงโกโก้, แทมเปอร์ส, ขวดบีบซอส, หลอดกาแฟ

ขณะที่การเลือกเครื่องชงกาแฟและเครื่องบดเมล็ดกาแฟนั้น สำหรับผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจกาแฟใหม่ ๆ หากเป็นร้านขนาดเล็ก หรือร้านขนาดกลาง ที่มีอัตราการชงกาแฟต่อวันประมาณ 50-150 แก้ว อาจจะใช้เครื่องชงกาแฟพร้อมเครื่องบดขนาด 1 หัวชงก็ได้ แต่ถ้าหากเป็นร้านขนาดใหญ่ มีอัตราการชงกาแฟต่อวันประมาณ 250-500 แก้ว ควรจะเลือกใช้เครื่องชงกาแฟพร้อมเครื่องบดขนาด 2 หัวชง จึงจะมีความเหมาะสม

ทั้งนี้ สำหรับสูตรกาแฟ การชงกาแฟ ในจุดนี้ก็คงต้องบอกว่า จำเป็นต้องหาแหล่งเรียนรู้ ต้องฝึกฝน จึงจะทำได้ดี จึงจะชงกาแฟได้รสชาติดี ซึ่งลำพังการแจกแจงเป็นตัวหนังสือก็คงช่วยให้รับทราบได้เพียงระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจร้านกาแฟนั้น นอกจากกาแฟแล้วก็ยังสามารถสร้างรายได้จากสินค้าเสริมต่าง ๆ ได้อีก เช่น ชา นม น้ำผลไม้ เบเกอรี่ สแนค ของหวาน ฯลฯ หรือแม้แต่บัตรเติมเงินมือถือก็ขายได้

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาดในการเปิดร้านคือ ใบอนุญาต และรวมถึงข้อกำหนดหรือข้อปฏิบัติของภาครัฐและชุมชนที่ตั้งร้าน เช่นเรื่องการกำจัดขยะ และของเสียต่าง ๆ เป็นต้น

เหล่านี้ก็เป็นโดยสรุปเกี่ยวกับการทำธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งในรายละเอียด สำหรับผู้ที่สนใจจริง ๆ ก็คงเช่นเดียวกับเรื่องการชง คือต้องเรียนรู้และศึกษาเพิ่มเติมให้เชี่ยวชาญ ให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงจะมีโอกาสรับทรัพย์
  
กิจกรรม “Coffee Rich รวยรินกลิ่นกาแฟ รับทรัพย์แน่ แค่อบรม” กิจกรรมครั้งที่ 3 โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ในวันนั้น ทาง ดร.พิสิฐ
เหตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและจัดจำหน่าย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้เข้าร่วมอบรมด้วยทุกขั้นตอน ซึ่งก็สร้างความคึกคักเป็นกันเองได้อีกระดับ และกับผู้ที่สนใจผู้ที่ฝันอยากเป็นเจ้าของร้านกาแฟ หากยังลังเลเพราะคิดว่ายากเกินไป ก็น่าจะลองพิจารณาตามที่ ดร.พิสิฐ กล่าวไว้...

“จากที่ได้ทดลองทำกาแฟด้วยตนเอง ทำให้ทราบว่า การทำธุรกิจกาแฟไม่ง่ายอย่างที่ฝัน แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด”.

(ชมภาพบรรยากาศ-คลิปวิดีโอ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ได้ที่ www.dailynews.co.th)
ส่วนผสม สูตรกาแฟ
กาแฟ “แมคเคียโต้เย็น” มีส่วนผสมการชงคือ เอสเปรสโซ่ชอท 2 ออนซ์, นมสดเย็น 1 ออนซ์, ซอสกาแฟ 2 ออนซ์, กาแฟ “ลาเต้เย็น” มีส่วนผสมคือ เอส เปรสโซ่ชอท 2 ออนซ์, นมสดเย็น 1 ออนซ์, ซอสกาแฟ 2 ออนซ์, นมสดเย็นสำหรับราด 1 ออนซ์, กาแฟ “ลาเต้ร้อน” มีส่วนผสมคือ เอสเปรสโซ่ชอท 1 ออนซ์, นมสดร้อน 4 ออนซ์ และฟองนมสด, กาแฟ “คาปูชิโน่เย็น” มีส่วนผสมคือ เอสเปรสโซ่ชอท 2 ออนซ์, นมสดเย็น 1 ออนซ์, ซอสกาแฟ 2 ออนซ์ และฟองนม กับผงโกโก้, กาแฟ “คาปูชิโน่ร้อน” มีส่วนผสมคือ เอสเปรสโซ่ชอท 1 ออนซ์, นมสดร้อน 2 ออนซ์, ฟองนมสดร้อน 2 ออนซ์, กาแฟ “เอสเปรสโซ่
  ร้อน” มีส่วนผสมคือ เอสเปรสโซ่ชอท 1 ออนซ์

http://www.dailynews.co.th/article/384/152830