Friday, November 30, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ฉากกั้นห้อง’

งานประดิษฐ์ งานแฮนด์เมด ถ้ารู้จักใส่ไอเดีย ประยุกต์ นำเสนอชิ้นงานออกมาให้ดูสวยงาม หลากหลาย และเป็นแบบฉบับของตัวเอง ก็สามารถดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจในตัวสินค้าได้เป็นอย่างดี อย่างงาน “ฉากกั้นห้อง” ที่นำวอลเปเปอร์ที่มีลวดลายสวยงามหลากหลายลายมาเป็นวัสดุติดลงบนฉากกั้นห้อง ซึ่งเป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา...

เมย์-อทิตา สุวรรณสุทธิ์ ร้านบ้านมุมฉาก ซึ่งนำวอลเปเปอร์มาทำฉากกั้นห้อง เล่าว่า หลังจากเรียนจบทางด้านการตลาดก็เข้าทำงานเป็นพนักงานบริษัทที่ขายวอลเปเปอร์ แต่ทำอยู่ได้ไม่นานบริษัทที่ทำงานก็ปิดลง แต่ส่วนตัวมองว่างานเกี่ยวกับวอลเปเปอร์นี้น่าจะยังไปได้อีก จึงออกมาจำหน่ายและรับติดวอลเปเปอร์เอง ซึ่งก็เป็นธุรกิจที่ไปได้ดีในช่วงนั้น จนมาระยะหลังร้านวอลเปเปอร์เริ่มเยอะ แข่งขันกันสูง และมีการตัดราคากันเองมากขึ้น ธุรกิจจึงเริ่มไม่ดีเหมือนแต่ก่อน
  
เมื่อธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มไม่ดีเหมือนเก่า จึงเริ่มมองหาอะไรทำเสริมเพื่อเป็นการเสริมรายได้ พอดีแฟนทำฉากกั้นห้องจำหน่ายอยู่ก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นฉากที่ใช้วัสดุเป็นพวกไม้สาน จึงเกิดความคิดว่าน่าจะลองเอาวอลเปเปอร์ ที่มีลวดลายและสีสันเยอะ มาทำเป็นฉากกันห้อง ซึ่งน่าจะทำได้
  
หลังจากที่มีความคิดนี้ ก็เริ่มสำรวจตลาดดูว่าสินค้าแบบนี้มีคนทำออกมาจำหน่ายหรือยัง ไปเดินดูตามตลาดนัดต่าง ๆ ก็ยังไม่เห็นว่ามีคนทำออกมา จึงตัดสินใจที่จะทำฉากกั้นห้องออกมาขายเอง โดยเริ่มจากการสั่งทำฉากไม้สำเร็จรูป แล้วนำมาทำการติดวอลเปเปอร์ลงไป เป็นการทดลองตลาดดูก่อน หลังจากที่ทำเสร็จชุดแรก ก็ลองประกาศขายผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
  
เมื่อได้รับการตอบรับจากลูกค้า จึงเริ่มผลิตงานออกมาจริงจัง และเพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตจึงไม่สั่งทำกรอบสำเร็จรูป แต่หันมาผลิตเอง ทำเอง ซึ่งก็ลองผิดลองถูกอยู่กว่า 3 สัปดาห์ จนได้ฉากที่ลงตัวเรื่องขนาด เรื่องไซซ์ ซึ่งฉากกั้นห้องนั้นอาจมองว่าทำง่าย ๆ แต่เวลาทำจริง ๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะฝึกฝน
  
“ฉากกั้นห้องที่ใช้วอลเปเปอร์มาติดที่ทำอยู่ เราจะเน้นทำเป็นงานแฮนด์เมด ทำด้วยมือทุกขั้นตอน งานที่ทำออกมาจึงออกจะช้าอยู่บ้าง แต่รับรองว่างานดูเรียบร้อย ประณีต มีคุณภาพแน่นอน” เมย์กล่าว
  
สำหรับการลงทุนทำฉากกั้นห้องขายนั้น เบื้องต้นใช้ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งสามารถทำฉากกั้นห้องได้ประมาณ 10-15 ชุด แต่ถ้ามีเงินทุนมากพอก็ลงทุนเยอะหน่อย เพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์คราวละมาก ๆ ต้นทุนก็จะลดลงได้
  
วัสดุอุปกรณ์ในการทำฉากกั้นห้อง หลัก ๆ มีดังนี้คือ...วอลเปเปอร์, ไม้ (สำหรับทำกรอบฉากกั้นห้อง), แผ่นไม้อัด ขนาดประมาณ 4 มิลลิเมตร, สีทาไม้, แล็กเกอร์, เลื่อยไฟฟ้า, กาวลาเท็กซ์, บานพับ, กระดาษทราย เป็นต้น
  
ขั้นตอนการทำเริ่มจาก...นำไม้สำหรับทำกรอบฉากกั้นห้องมาทำการตัดตามขนาดที่ กำหนดไว้ ให้ได้ด้านกว้างขนาด 50 ซม. ส่วนความสูงนั้นตามแต่ต้องการ (แต่ไม่ควรสูงเกินกว่า 1.8 เมตร เพราะเวลาใช้งานฉากกั้นจะมีโอกาสล้มได้ง่าย) ตัดไม้ทำกรอบฉากออกมาก็จะได้ไม้ 4 ชิ้น ด้านกว้าง 2 ชิ้น ด้านสูงอีก 2 ชิ้น
  
เมื่อได้ไม้ที่ตัดแล้วก็ทำการขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบ เอาเสี้ยนไม้ออกให้หมด ทำการเซาะร่องตรงกลางไม้ที่จะนำมาทำเป็นกรอบฉาก เซาะร่องให้ขนาดกว้างเท่ากับความหนาของแผ่นไม้อัด เมื่อทำการเซาะร่องเสร็จแล้ว จากนั้นก็ทำการประกอบเข้าด้วยกัน ประกอบเป็นลักษณะเหมือนการทำกรอบรูปโดยมีแผ่นไม้อัดอยู่ตรงกลาง
  
การประกอบนั้น กรอบด้านบนให้ตัดไม้เป็นมุมประมาณ 45 องศา แล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกันเหมือนกรอบรูป โดยมีแผ่นไม้อัดใส่ไว้ในร่องที่เซาะไว้ ยึดด้วยกาวลาเท็กซ์และตะปูขนาดเล็ก เพื่อความแน่นหนา ส่วนด้านล่างไม่ต้องตัดมุมให้ประกอบติดโดยติดให้สูงขึ้นมาจากพื้นประมาณ 10-15 ซม. เพื่อให้เป็นขาตั้งของฉากกั้น
  
เมื่อประกอบเสร็จแล้วก็ใช้กาวอัดตามร่องแผ่นไม้อัดเพื่อความแน่นหนาอีกที จากนั้นก็ตรวจดูกรอบไม้ ถ้าไม้กรอบมีรูก็ทำการโป๊วทับให้เรียบ เก็บรายละเอียดเสร็จก็ทำการขัดไม้ให้เรียบอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ทำการทาสีที่กรอบไม้ โดยทา 2 รอบ พอสีแห้งก็ทาทับด้วยแล็กเกอร์ พอแห้งก็นำวอลเปเปอร์มาติดลงบนไม้อัดโดยยึดติดด้วยกาว เท่านี้ก็เสร็จ ก็จะได้กรอบฉากกั้น 1 บาน ซึ่งจะต้องทำทั้งหมด 3 บาน แล้วนำมาติดบานพับให้ติดกัน ก็จะได้ฉากกั้นห้อง 1 ชุด
  
ฉากกั้นห้อง 1 บาน จะมีต้นทุนการทำอยู่ที่ประมาณ 700 บาท ไม่รวมค่าวอลเปเปอร์ โดยวอลเปเปอร์นั้นมีหลายชนิด ราคาก็แตกต่างกันออกไป โดยถ้ารวมค่าวอลเปเปอร์ด้วยเฉลี่ยก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ต่อ 1 บาน
  
ฉากกั้นห้องร้านนี้ มีขนาดหน้ากว้าง 50 ซม. เป็นมาตรฐาน ส่วนความสูง มีขนาด 1.45, 1.6 และ 1.8 เมตร ราคาต่อ 1 ชุด ก็มีตั้งแต่ 2,700-4,800 บาท ขึ้นกับขนาดความสูงและวอลเปเปอร์ โดยมีต้นทุนประมาณ 2,000-3,000 บาท

ใครสนใจ “ฉากกั้นห้องแฮนด์เมด” ลวดลายวอลเปเปอร์ ของร้านบ้านมุมฉาก ไปชมสินค้าได้ที่ 644/78 ซอยเสรีไทย 41 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เบอร์โทรศัพท์ 08-6358-6291, 08-8277-2901 หรือดูได้ในเว็บไซต์ http://banmoomchark.blogspot.com ซึ่ง “ช่องทางทำกิน” รูปแบบนี้ นอกจากจะทำขายสำเร็จรูปแล้ว ยังสามารถจะทำเงินโดยรับสั่งทำตามแบบตามลวดลายที่ลูกค้าต้องการ ก็ลองพิจารณากันดู.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/แสงจันทร์ สนั่นเอื้อ : ภาพ
          
..........................................

คู่มือลงทุน...ฉากกั้นห้องแฮนด์เมด

ทุนเบื้องต้น     ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ    ประมาณ 2,000-3,000 บาท/ชุด
รายได้    ราคาขาย 2,700-4,800 บาท/ชุด
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ขายผ่านเน็ต, ร้านของแต่งบ้าน
จุดน่าสนใจ    มีลวดลายดึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม

http://www.dailynews.co.th/article/384/169813

Saturday, November 24, 2012

แนะนำอาชีพ “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด”

อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว มีขายกันมากมายหลายแบบและหลายสูตร ทั้งสูตรโบราณดั้งเดิม และสูตรปรับปรุงดัดแปลงเพื่อสร้างจุดขาย ซึ่ง “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ก็ยังคงเป็นหนึ่งในก๋วยเตี๋ยวที่ได้รับความนิยมเสมอมา โดยวันนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดสูตรโบราณดั้งเดิมที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มานำเสนอให้พิจารณากัน...
  
อ.ธนาชัย เหมอยู่สุข หรือ “เฮียชัย” เจ้าของร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ซึ่งเป็นทายาทสืบต่อรุ่นที่ 2 และปัจจุบันยังเป็นวิทยากรสอนการทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดด้วย เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดว่า ร้านนี้เปิดขายมานานกว่า 40 ปีแล้ว “เหลา” คือชื่อของคุณพ่อ เดิมจะตระเวนเข็นรถซาเล้งขายตามที่ต่าง ๆ ในย่านดินแดง พหลโยธิน ด้วยความตั้งใจ บวกกับฝีมือในการปรุง ทำให้มีลูกค้าขาประจำมากมาย ก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่ทำไปขายแม้จะทำเพิ่มก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และหากทำมากไปก็ใส่รถเข็นไปขายไม่ไหว ต่อมาจึงคิดเรื่องการมีร้านประจำ
“คุณพ่อพยายามเก็บหอมรอมริบเพื่อให้ได้เงินสักก้อนเพื่อหาสถานที่ขายให้ เป็นหลักแหล่ง ในที่สุดก็สามารถซื้อตึกแถวย่านสนามเป้า ย่านที่ตั้งร้านปัจจุบัน ส่วนตัวผมช่วยงานคุณพ่อและคลุกคลีอยู่กับก๋วยเตี๋ยวเป็ดมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้ชำนาญสูตรการทำทุกขั้นตอน ประกอบกับอยากให้พ่อแม่ได้พักผ่อนบ้าง หลังเรียนจบปริญญาตรีผมจึงรับช่วงธุรกิจ”

เฮียชัยบอกเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ก๋วยเตี๋ยวเป็ดอร่อย รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม และมีลูกค้าขาประจำมากมาย ว่า ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี ไม่ขี้เหนียว สะอาด จริงใจซื่อสัตย์ต่อลูกค้าด้วยการทำกันสดใหม่ทุกวัน

อุปกรณ์ที่ใช้ทำก๋วยเตี๋ยวเป็ด หลัก ๆ ก็มี...เตาแก๊ส-ถังแก๊ส, หม้อต้มขนาดใหญ่, กะละมัง, ทัพพี, ถาด, เขียง, มีด, ตะแกรง, ตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยว, กระบวยตักน้ำก๋วยเตี๋ยว, ผ้าขาวบางหรือถุงผ้าสำหรับใส่เครื่องพะโล้ยาจีน, เครื่องครัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ, อุปกรณ์การขาย เช่น ที่ใส่เครื่องปรุง ชาม ช้อน ตะเกียบ

วัตถุดิบที่ใช้ทำ ก็ได้แก่... เป็ดสด (คัดไซซ์พิเศษ) มีเครื่องในและเลือดก้อนด้วย, ผงพะโล้, เครื่องเทศ เช่น โป๊ยกั๊ก อบเชย ชวงเจียคั่ว พริกไทยเม็ดบุบ, กระเทียมบุบ, รากผักชี, พริกชี้ฟ้าแดงทุบ, เกลือ, ซีอิ๊วดำ, ซีอิ๊วขาว, ผ้าขาวบางหรือถุงผ้าสำหรับใส่เครื่องพะโล้ยาจีน, ต้นหอม, ผักกาดหอม, ถั่วฝักยาว และเส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เส้นบะหมี่ สำหรับเครื่องปรุงรสที่ต้องเตรียมให้ลูกค้าก็มี น้ำปลา ซีอิ๊ว พริกป่น น้ำตาลทราย พริกน้ำส้ม พริกไทยป่น

ขั้นตอนการทำ “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” อันดับแรกต้องทำ “เป็ดพะโล้” ก่อน โดยนำเป็ดคัดไซซ์ที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาดเอี่ยมหลาย ๆ น้ำ โดยเฉพาะพวกเครื่องใน ทั้งตับและกึ๋นต้องล้างอย่างพิถีพิถัน ด้วยการขยำกับเกลือทะเลหลาย ๆ ครั้งจนไม่มีกลิ่นติด ส่วนไส้นั้นก็ขยำด้วยเกลือหลาย ๆ ครั้งจนหมดเมือกหมดกลิ่น แล้วต้องขยำกับแป้งมันอีกด้วย

นำน้ำใส่หม้อใช้ตั้งไฟ ความร้อนปานกลาง รอจนเดือดก็ใส่ผงพะโล้ ใส่ถุงใส่เครื่องเทศ เช่น โป๊ยกั๊ก อบเชย ชวงเจียคั่ว และพริกไทยเม็ดบุบ (ปิดปากถุงให้แน่น) เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวและกลิ่นสาบเป็ด ตามด้วยกระเทียมบุบ รากผักชี พริกชี้ฟ้าแดงทุบเล็กน้อย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำตาล เกลือ พอน้ำเดือดอีกก็ใส่เป็ดและเครื่องในตามลงไป ลดไฟอ่อน ต้มต่อประมาณ 1 ชั่วโมง เป็ดพะโล้ก็จะสุกพอดีกิน และทั้งกึ๋นและตับก็ต้องนำลงต้มกับน้ำพะโล้ด้วย ส่วนไส้ไม่ต้องต้ม หลังจากทำความสะอาดแล้วก็แค่นำมาลวกน้ำร้อนพอสุก เวลาเสิร์ฟก็ตักน้ำเป็ดพะโล้ร้อน ๆ ราด ไส้จะกรอบเคี้ยวกรุบ ๆ จนลูกค้าเรียกกันติดปากว่า “ไส้แก้ว” ซึ่งขายดี มีลูกค้าที่ชอบสั่งเฉพาะไส้แก้วจิ้มพริกน้ำส้มกินเล่น

เมื่อเป็ดสุกแล้ว ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น จากนั้นก็แบ่งน้ำต้มเป็ดมากรองใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟกลางจนร้อน ใส่เลือดเป็ดและเกลือเล็กน้อย ต้มจนสุก ให้น้ำพะโล้ซึมเข้าเลือดเป็ด ปิดไฟยกลง ตักใส่ภาชนะ

ถ้าจะทำเป็ดตุ๋น ต้องสับเป็ดแยกเป็นชิ้นส่วน ปีก ปาก คอ ขา ตุ๋นประมาณ 2 ชั่วโมงก็ใช้ได้

ส่วนผสมน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว...น้ำสะอาด, โครงเป็ด-กระดูกหมู, หัวไชเท้า, รากผักชีทุบ, กระเทียมทุบ, พริกไทยเม็ดบุบพอแตก, เกลือแกง, ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส, น้ำตาลกรวด โดยนำน้ำใส่หม้อตั้งไฟกลาง ใส่โครงเป็ด-กระดูกหมู ไชเท้าปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 2 เซนติเมตร ตามด้วยรากผักชี พริกไทย กระเทียม เกลือ พอน้ำเดือดลดไฟให้อ่อนลงแล้วหมั่นปาดฟองทิ้งให้หมด ใส่ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลกรวด เพื่อปรุงรส พอได้น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม ก็ใช้ได้

ในการขาย เตรียมผักกาดหอม ถั่วฝักยาว ต้นหอม ล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ หั่นเตรียมไว้ เวลาจะขายก็ลวกถั่วฝักยาวหั่นใส่ชามที่รองด้วยใบผักกาดหอม ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ตามลงไป หั่นและใส่เนื้อเป็ด เครื่องใน เลือด ดอกไม้จีนต้ม ก่อนจะราดน้ำซุป เหยาะพริกไทย โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว ต้นหอมหั่น เป็นขั้นตอนสุดท้าย (ถ้าเป็นแบบแห้งลวกเส้นแล้วคลุกด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว-น้ำตาลนิดหน่อย ใส่ทุกอย่างเหมือนแบบน้ำ ยกเว้นน้ำซุป)

ร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดชามละ 40 บาท พิเศษ 50 บาท มีทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น เป็ดพะโล้ ไส้แก้ว และยังมีเมนูอื่น ๆ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น-ลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยวปีก-ข้อ-ขาไก่ตุ๋น ก๋วยเตี๋ยวขาหมู ปีกข้อขาไก่ตุ๋น ขาหมู คากิ ไส้หมู ฯลฯ ร้านตั้งอยู่ที่ 1019/2 ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ ติดกับตึกยาคูลท์ ข้างธนาคารกสิกรไทย สาขาสนามเป้า ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ร้านเปิดบริการช่วงเวลา 08.00-15.00 น. หยุดวันอาทิตย์
  
นอกจากขายที่ร้านแล้ว ร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ยังมีบริการส่งถึงบ้านในละแวกใกล้เคียง และสามารถทำเงินได้จากการรับออกร้านในงานเลี้ยงต่าง ๆ รับสั่งทำเป็ดไหว้ในเทศกาลต่าง ๆ อีกทั้ง อ.ธนาชัยหรือเฮียชัยยังเป็นวิทยากรสอนการทำก๋วยเตี๋ยว ซึ่งใครต้องการติดต่อร้านนี้และติดต่อเฮียชัย ก็ติดต่อได้ที่ โทร.0-2279-4881 และ 08-1642-5837.

http://www.dailynews.co.th/article/384/168657

Friday, November 23, 2012

แนะนำอาชีพ ''นาฬิกาแผ่นเสียง''

“ความคิดสร้างสรรค์” เป็นกุญแจสำคัญสำหรับคนที่คิดจริงจังกับอาชีพงานประดิษฐ์ อย่างเช่นเจ้าของ ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ ที่นำความชื่นชอบกับความชำนาญด้านการออกแบบ มาผนวกเข้ากับวัสดุที่เมื่อนำมาประดิษฐ์แล้วโดดเด่นน่าสนใจ แถมยังทำตลาดได้ไกลถึงต่างประเทศ ชนิดที่ไม่ต้องมีหน้าร้านเสียด้วยซ้ำ เพราะอาศัยช่องทางเผยแพร่ผลงานสินค้าผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต กับชิ้นงาน ’นาฬิกาแผ่นเสียงฉลุ“ ของ “อนันต์ โลภาส” รายนี้...
อนันต์ เล่าว่า ก่อนหน้านั้นทำงานบริษัทเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิกมานาน จนเริ่มอิ่มตัวกับการทำงานในระบบออฟฟิศ จังหวะพอดีกับที่มีเพื่อนมาชวนไปลงทุนเปิดร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่ตลาดนัด สวนลุมไนท์บาซาร์ ทำได้ระยะหนึ่ง จังหวะกับที่ตลาดนัดดังกล่าวได้หมดสัญญาและปิดตัวลง จึงกลับมาช่วยงานพี่ที่รู้จักรับผลิตงานศิลปะและรับทำป้ายโฆษณา ทำให้พบเห็นว่ามักจะมีเศษวัสดุที่เกี่ยวกับการทำป้ายเหลืออยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะแผ่นอะคริลิกกับแผ่นไม้ จึงเกิดความคิดว่าน่าจะนำมาทดลองประดิษฐ์ขึ้นเป็นชิ้นงานได้ โดยเริ่มทำมาเรื่อย ๆ และทดลองนำไปฝากขายตามร้านขายงานฝีมือที่รู้จัก ปรากฏว่าได้รับการตอบรับ จึงพยายามหาไอเดียเพิ่มขึ้น จนไปสะดุดกับงานจากวัสดุแผ่นเสียงหรือที่เรียกกันว่าแผ่นไวนิลเก่าที่ใช้งาน ไม่ได้แล้ว จนกลายเป็นชิ้นงานอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

“บังเอิญไปเจองานที่เขาเอาแผ่นเสียงตั้งโชว์เป็นนาฬิกา แต่ไม่มีลวดลายอะไรเลย เราก็ลองไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็ลองนำมาดัดแปลงทำในสไตล์เราขึ้นมา ลายส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวต่างประเทศ รู้จักและจดจำได้ถึงความเป็นเมืองไทย นอกจากนั้นก็มีงานที่เป็นรูปศิลปินเพลงต่างประเทศที่เราชื่นชอบหรือเป็นวง ตำนานเก่าแก่ ปรากฏว่าลูกค้าชอบมาก จึงทำมาเรื่อย ๆ” อนันต์กล่าว

เขาเล่าอีกว่า ลูกค้ารู้จักชิ้นงานในชื่อ “นาฬิกาแผ่นเสียงฉลุ” หรือหากเป็นชาวต่างประเทศจะเรียกชิ้นงานว่าเป็น รีไวนิล-วอลล์คล็อก (Revinyl-Wallclock) ที่ผลิตอยู่มีหลายแบบ และพยายามออกแบบลายใหม่เรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกค้าเลือก นอกจากชิ้นงานสำเร็จรูปแล้วยังสามารถสั่งทำเป็นภาพตัวเองหรือคนอื่น หรือสั่งให้ใส่ชื่อหรือข้อความได้ด้วย

ช่องทางการจำหน่ายนั้น ปัจจุบันจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต คือที่ www.etsy.com/shop/Anantalo ซึ่งเป็นเว็บไซต์จำหน่ายสินค้างานฝีมือ และเฟซบุ๊กชื่อ www.facebook.com/anantalo ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และถือว่าลดความเสี่ยงจากการลงทุนเปิดหน้าร้าน และก็มีบ้างบางครั้งที่นำงานไปจำหน่ายตามงานแสดงสินค้างานฝีมือ

’จุดเด่นของงานคือ เน้นลวดลายที่ออกแบบในสไตล์ของเราเอง ซึ่งสำหรับคนที่คิดจะทำงานฝีมือประเภทงานศิลป์ประดิษฐ์นี้ ความมีเอกลักษณ์ การมีสไตล์ของตัวเองที่ชัดเจน ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะทำให้ลูกค้าจำงานของเราได้“ เป็นคำแนะนำจากเจ้าของชิ้นงานนาฬิกาแผ่นเสียงฉลุลาย...

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 10,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าสต๊อกวัสดุ ขณะที่ทุนวัตถุดิบหรือวัสดุอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ซึ่งราคาขายนั้นเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 690 บาท ไปจนถึง 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย วัสดุอุปกรณ์ อาทิ แผ่นเสียงเก่า, เครื่องนาฬิกา, สีสเปรย์สำหรับพ่นตกแต่งลวดลาย, น้ำยาเคลือบเงา และวัสดุตกแต่งอื่น ๆ

ขั้นตอนการทำ เริ่มต้นจากการออกแบบ จากนั้นนำแผ่นเสียงที่เตรียมไว้มาเข้าเครื่องฉลุลายด้วยเลเซอร์ โดยค่าจ้างทำอยู่ที่ประมาณ 150-200 บาท ขึ้นอยู่กับความยากและรายละเอียดชิ้นงานและลวดลาย เมื่อได้ลวดลายที่ต้องการแล้วจึงทำการตกแต่งด้วยการลงสีตามตำแหน่งที่ต้อง การ จากนั้นทำการเคลือบเงา และทำการประกอบเครื่องนาฬิกาที่เตรียมไว้ลงไปในตำแหน่งที่ต้องการหรือตามที่ ได้ออกแบบไว้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำงาน

“สำหรับแผ่นเสียงที่อาจมีตำหนิหรือบิดแตกบางส่วนไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถนำมาตัดหรือฉลุแก้ไขตรงส่วนนั้นให้เกิดเป็นลวดลายขึ้นมาได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับจินตนาการ ส่วนราคาแผ่นเสียงจะไม่แน่นอน แล้วแต่สภาพ แต่หลัก ๆ จะพยายามหลีกเลี่ยงแผ่นเสียงที่นักสะสมนิยมกัน เพราะจะมีราคาแพง” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

ก่อนทิ้งท้ายด้วยว่า ผู้สนใจงานแฮนด์เมดควรเริ่มจากการทำสิ่งที่ชอบหรือถนัด เริ่มทำจากน้อย ๆ ไปก่อน และพยายามมองหาช่องทางการขายที่ลงทุนน้อย เช่น การขายในตลาดออนไลน์ ซึ่งถ้าหากพัฒนางานของเราให้มีเอกลักษณ์และน่าสนใจได้ จากนั้นโอกาสก็จะตามมา สำคัญคือต้องอดทน และทำด้วยความรัก
ใครสนใจ ’ช่องทางทำกิน“ จาก ’นาฬิกาแผ่นเสียงฉลุ“ สนใจชิ้นงานประเภทนี้ เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ตามที่อยู่เว็บไซต์และในเฟซบุ๊กดังที่ระบุไว้ในตอนต้น หรือต้องการติดต่อกับอนันต์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-7072-2089 หรืออีเมล anantaloshop@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/article/384/168439

Saturday, November 17, 2012

แนะนำอาชีพ 'ส้มตำป่า'

“ส้มตำป่า” อีกเมนูจานเด็ดที่ไม่ค่อยพบเห็นในร้านขายส้มตำทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่จะพบในร้านที่ขายอาหารอีสานแท้ ๆ ซึ่งจุดเด่นของส้มตำป่านี้คือ เป็นส้มตำที่ใส่ผักสดลงไปตำด้วยหลายชนิด ใส่เนื้อหอยโข่ง หรือหอยเชอรี่ ใส่เส้นขนมจีน และมีการปรุงรสแบบจัดจ้านแบบถึงอกถึงใจ ทั้งเปรี้ยว เผ็ด เค็ม ผสมผสานด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับฝีมือคนทำว่าจะทำได้ชำนาญและเข้าใจคนรับประทานมากเท่าไร ซึ่งหากฝีมือดีและเข้าใจลูกค้าได้ดี นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้...
  
สนธยา เกลี้ยงไธสง หรือ โย อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดนครราชสีมา เป็นเจ้าของร้าน “ส้มตำป่า” ในตลาดนัดหงส์ประยูร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เจ้าตัวเล่าว่า ร้านส้มตำป่านี้เป็นของพี่ชายมาก่อน หลังจากที่เสร็จจากงานประจำตนก็มักจะมาช่วยเป็นลูกมือช่วยตำส้มตำเป็นประจำ จึงได้รับการถ่ายทอดทั้งสูตรและวิธีทำมาหมด ต่อมาพี่ชายไม่ค่อยว่าง จึงมารับช่วงขายต่อ ซึ่งก็มีรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวแบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องกลับไปทำงานประจำอีก

“ส้มตำที่ขายดีมากคือส้มตำป่า ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำหอยดอง โดยเฉพาะส้มตำป่าคนจะแวะซื้อกลับบ้านกันมาก ซึ่งจะมีทั้งแบบคลุกไปเลย หรือแบบแยกเส้น เพื่อจะได้เก็บไว้กินภายหลังโดยรสชาติไม่เปลี่ยน” สนธยาเล่า

อุปกรณ์ในการทำส้มตำป่า หลัก ๆ ก็มี ครก สาก โถใส่ของต่าง ๆ กะละมัง มีด ที่ขูดเส้น ฯลฯ อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดเหล่านี้ถ้าลงทุนใหม่หมดก็อยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

“ส้มตำป่า” แต่ละครก มีส่วนประกอบดังนี้คือ พริกขี้หนูแดง 5 เม็ด, กระเทียม 3 กลีบ, มะเขือเทศสีดา 1-2 ลูก, มะเขือเปาะ 1 ลูก หรืออาจจะใช้มะเขือเหลืองก็ได้, ถั่วฝักยาวหั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดยาว 4 ซม. ประมาณ 4-5 ชิ้น, เนื้อหอยเชอรี่ต้มสุกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 10 ชิ้น (สมัยก่อนใช้เนื้อหอยโข่ง ปัจจุบันหาได้ค่อนข้างยาก), ปูเค็ม 1 ตัว, น้ำปลาร้าต้มสุก 1.5 ตะบวย, น้ำตาลปี๊บ, น้ำมะนาว, น้ำมะขามเปียก, ผงชูรส, น้ำปลา, หน่อไม้ต้มสุกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ, มะละกอขูดเป็นเส้น ๆ (แช่น้ำเย็น), เส้นขนมจีน และผักกระเฉด

วิธีทำ ตำกระเทียมกับพริกขี้หนูแดงให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ผงชูรส อย่าง
ละพอประมาณ หั่นมะเขือเทศสีดา มะเขือเปาะ (หรือมะเขือเหลือง) ใส่ ตามด้วยถั่วฝักยาว หน่อไม้ เนื้อหอยเชอรี่ และปูเค็ม ใส่ลงไปคลุกให้เข้ากัน เสร็จแล้วตักน้ำปลาร้าต้มสุกใส่ลงไป ตามด้วยเส้นมะละกอ เส้นขนมจีน และผักกระเฉด
คลุกให้เข้ากัน ชิมรสให้มีรสเผ็ด เค็ม เปรี้ยว เข้ากันแบบกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว และผักบุ้งแดง

ส้มตำป่านี้ขายในราคาชุดละ 40 บาท

นอกจากส้มตำป่าแล้ว เจ้าของร้านส้มตำป่ายังได้ให้สูตร “ส้มตำหอยดอง” ซึ่งเป็นส้มตำอีกชนิดที่ขายดีของร้านนี้ โดยส่วนผสมก็มี พริกขี้หนูแดง 4-5 เม็ด, กระเทียม 5 กลีบ, น้ำตาลปี๊บ, น้ำมะนาว, ผงชูรส, น้ำมะขามเปียก, มะเขือเทศสีดา 1 ลูก, ถั่วฝักยาวหั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดยาว 4 ซม. ประมาณ 4-5 ชิ้น, มะละกอขูดเป็นเส้น (แช่น้ำเย็น) และหอยดอง 2.5 ตะบวย (ตักเอาแต่ตัวหอย)

วิธีทำ ตำพริกขี้หนูแดงและกระเทียมให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว ผงชูรส น้ำมะขามเปียก ใส่ลงไป เสร็จแล้วหั่นมะเขือเทศสีดาใส่ ตามด้วยถั่วฝักยาว เส้นมะละกอ และหอยดอง ใส่ลงไปคลุก ชิมรสให้มีรสชาติเปรี้ยว-หวาน สามารถเพิ่มเติมรสชาติได้ตามใจลูกค้า เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว และผักบุ้งแดง ขายในราคาชุดละ 35 บาท
 
โย-สนธยา เปิดร้านส้มตำป่าอยู่ที่ตลาดนัดหงส์ประยูร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ขายทุกวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ และเสาร์ ช่วงเวลา 14.00-20.00 น. หมายเลขโทรศัพท์คือ 08-9512-1127 ซึ่งเมนู “ส้มตำป่า” รวมถึงส้มตำอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ส้มตำสูตรธรรมดาที่มีขายทั่วไป หากใครมีฝีมือปรุงดี ๆ มีทำเลขายที่เหมาะสม ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ควรมองข้าม.

http://www.dailynews.co.th/article/384/167241

แนะนำอาชีพ 'หอยอบเนยกระเทียม'

วัตถุดิบทำอาหารบางอย่างอาจจะดูว่าแพง ต้องมีร้านใหญ่ ๆ ถึงจะทำขายได้ แต่จริง ๆ แล้วอาจสามารถพลิกแพลงเป็น “ช่องทางทำกิน” ในรูปแบบที่ไม่ต้องลงทุนสูงก็ได้ อย่างการทำ-การขาย “หอยอบเนยกระเทียม” นี่ก็ใช่...
ศลิษา วงศ์ศิริ หรือ เปิ้ล อายุ 36 ปี ทำ หอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียม ขายที่ตลาดน้ำขวัญ-เรียม เจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร หลังเรียนจบเธอก็ช่วยงานที่บ้าน ไม่ได้ทำงานประจำที่ไหน พอแต่งงานมีครอบครัวก็คิดอยากมีธุรกิจของตัวเอง เริ่มจากทำไก่กะทิทรงเครื่องขาย ก็ได้รับการตอบรับดีมาก แต่ภายหลังการขายอาหารชนิดนี้ซบเซาลงไปบ้าง เธอจึงคิดปรับเปลี่ยนเพิ่มสินค้าให้ทันกับกระแสความนิยมของลูกค้า

จากการศึกษาช่องทางการขายก่อนจะตัดสินใจว่าจะเลือกสินค้าชนิดไหน โดยสำรวจตลาดก่อนเป็นอันดับแรก ก็พบว่าปัจจุบันคนถวิลหาธรรมชาติและวิถีชีวิตความเป็นไทย จึงมีตลาดน้ำเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และตามย่านชานเมืองหลายแห่ง ซึ่งจุดขายของตลาดน้ำคือเรือ และของกินจำพวกอาหารทะเลแบบที่รับประทานง่าย ใหม่ สด อร่อย ไม่เลอะมือ ก็สามารถเข้ากับบรรยากาศตลาดน้ำได้ดี ที่สุดจึงคิดทำหอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียมขาย โดยได้ศึกษาวิธีทำและแวะชิมตามร้านที่อร่อย ๆ ก่อนจะลงมือทำโดยปรับแต่งสูตรให้มีความแตกต่าง อร่อยไม่เหมือนใคร

เปิ้ลบอกว่า เพราะหอยมีความสดและหวานในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นการรักษาคุณภาพให้อร่อยจึงไม่ใช่เรื่องยาก เทคนิคง่าย ๆ คือใช้วัตถุดิบและส่วนผสมอย่างดี บวกความจริงใจ ไม่เอาเปรียบลูกค้า เท่านี้ก็อร่อยได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าลูกค้าชอบรสจัดจ้านแซบ ๆ ก็มีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดแบบไทย ๆ ไว้บริการด้วย

วัสดุอุปกรณ์ในการทำอาชีพนี้ หลัก ๆ ก็มี อาทิ...เตาย่างไฟฟ้า, คีมคีบสำหรับใช้ตอนย่าง, เครื่องปั่น, ถาด, กล่องพลาสติก, ช้อนกาแฟหางยาว และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หาได้ไม่ยากจากในครัวเรือน

สำหรับวัตถุดิบส่วนผสมหลัก ๆ ที่ใช้ในการทำ ก็มี...หอยเชลล์สด, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, เนยสดจืด-เค็ม, รากผักชี, เกล็ดขนมปังกรอบ, ไข่กุ้ง, พริกไทยบด, กระเทียม และซอสพริก

ขั้นตอนการทำ “หอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียม” เริ่มจากคัดหอยเชลล์และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวใหญ่พอประมาณ นำมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นทำการงัดหรือแกะหอยออกจากเปลือก โดยเปลือกหรือฝาที่แกะเนื้อหอยออกนี้ยังไม่ทิ้ง เพราะจะต้องใช้ขายคู่กับเนื้อหอย เนื้อหอยที่แกะก็ใส่กล่องพลาสติกแช่ตู้เย็นหรือถังน้ำแข็งไว้

ทำการพักเนย โดยนำเนยสดชนิดจืดและชนิดเค็มมาตั้งพักไว้ในอุณหภูมิปกติ ระหว่างรอให้เนยนิ่มก็แกะเปลือกกระเทียมแล้วสับให้ละเอียดเตรียมไว้ รากผักชีล้างให้สะอาด ผึ่งจนสะเด็ดน้ำแล้วสับเตรียมไว้ พริกไทยดำเม็ดนำมาบดเตรียมไว้ ส่วนซอสพริกก็กรอกใส่ขวดพลาสติกเตรียมไว้

การผสมเนยปรุงรส นำเนยสดชนิดจืดกับชนิดเค็มมาผสมกัน ตามด้วยกระเทียมสับ พริกไทยบด รากผักชีสับ คลุกเคล้าส่วนผสมเนยให้เข้ากัน ซึ่งหลักการขายคือต้องเตรียมหอย ส่วนผสมเนยปรุงรส ไข่กุ้ง ซอสพริก ไว้ใกล้มือ

วอร์มเตาย่างให้ร้อนกรุ่น ๆ นำหอยเชลล์หรือหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ออกจากตู้เย็น คีบลงบนฝาแต่ละตัวก่อนจะนำไปวางบนเตาย่าง ใช้คีมคีบตัวหอยกลับไปกลับมาพอสะดุ้ง ตักเนยปรุงรสใส่ลงบนหอย พลิกกลับไปกลับมา ใส่เนยปรุงรสอีกครั้ง พอสุกก็คีบขึ้นมาทั้งฝา แต่งแต้มด้วยไข่กุ้ง ซอสพริก และเกล็ดขนมปัง เพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติความอร่อย

เท่านี้ก็พร้อมขาย พร้อมรับประทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด

น้ำจิ้มซีฟู้ดนั้น ส่วนผสมก็มี พริกขี้หนูสวนสีเขียวสด, รากผักชี, กระเทียม, โหระพา, มะนาว, เกลือ และน้ำตาลทราย โดยนำน้ำตาลทรายใส่น้ำต้มจนเป็นน้ำเชื่อม แล้วทิ้งไว้ให้เย็น ปั่นกระเทียม ใบโหระพา รากผักชี พริกขี้หนู ให้ละเอียด เทใส่ในชาม เติมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำมะนาว คนให้เกลือละลาย ปรุงรสให้แซบสะใจ เปรี้ยว เค็ม หวาน

สำหรับราคาขาย “หอยเชลล์อบเนยกระเทียม” ชุดละ 100 บาท มี 7 ตัว ส่วน “หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบเนยกระเทียม” 5 ตัวโต ๆ ขายชุดละ 100 บาท นอกจากนี้ที่ร้านของเปิ้ลยังมีกุ้งเผา กุ้งอบวุ้นเส้น ปลาช่อน-ปลาทับทิม-ปลานิลเผา ไว้บริการลูกค้าที่ไม่ชอบรับประทานหอยด้วย
“หอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่ตลาดน้ำขวัญ-เรียม ขายบนเรือ ฝั่งวัดบำเพ็ญใต้ เข้าทางถนนเสรีไทย ซอย 60 หรือเข้าทางถนนรามคำแหง 187 ก็ได้ ซึ่งนอกจากขายประจำที่นี่แล้ว ก็ยังมีรายได้เพิ่มอีกทางจากการรับออกร้านนอกสถานที่ตามงานต่าง ๆ และถ้าใครต้องการติดต่อเจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็ติดต่อเปิ้ลได้ที่ โทร. 08-0459-8476

แนะนำอาชีพ ‘แม็กเน็ตภาพวาด’

งานอาร์ตแฮนด์เมดสามารถพลิกแพลงต่อยอดสร้างสรรค์เป็นสินค้าใหม่ออกสู่ ตลาดได้เรื่อย ๆ และยังสร้างรายได้ให้กับผู้ที่สร้างสรรค์งานได้เป็นอย่างดี อย่างการนำภาพวาดภาพเขียนแนวการ์ตูนน่ารัก ๆ สีสันสดใส มาต่อยอด ทำเป็น “แม็กเน็ต” “ที่แขวนกุญแจ” ออกขายเป็นสินค้ากลุ่มของขวัญของฝาก นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา...

โอเล่-รุ่งนภา จะโนภาษ ซึ่งนำภาพวาดมาสร้างสรรค์เป็นสินค้า อาทิ “แม็กเน็ตติดตู้เย็นจากภาพวาด” และ “ที่แขวนพวงกุญแจจากภาพวาด” เล่าว่า เดิมนั้นพอเรียนจบออกมาก็เข้าทำงานประจำเป็นประชาสัมพันธ์ ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เริ่มไม่สนุกกับงานที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง อยากทำงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง
ต่อมาจึงออกจากงานประจำที่ทำอยู่ แล้วก็เริ่มมองหาอาชีพใหม่ จนในที่สุดก็มาทำอาชีพค้าขาย โดยช่วงนั้นขายกระเป๋ามือสอง ขายอยู่นานพอสมควร จนตลาดเริ่มไม่ดีเหมือนอย่างเก่า ลูกค้าเริ่มน้อยลง จึงมองหาสินค้าใหม่ ๆ มาขาย
“ในช่วงนั้นแฟนได้เริ่มไปหัดเรียนวาดภาพ ฝึกฝนอย่างจริงจังอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน พอวาดได้ในระดับหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะเปิดร้านวาดภาพขาย จึงเริ่มฝึกหัดวาดรูปวาดภาพบ้าง เพื่อที่จะได้ช่วยกัน ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร แต่ก็พอจะมีพื้นฐานตั้งแต่ตอนเรียนอยู่บ้างเล็กน้อย จึงทำได้ และมาถึงตอนนี้ด้วยประสบการณ์ที่ทำมากว่า 10 ปี ก็ทำให้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงก็อาศัยดูเทคนิคต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ต แล้วก็มาลองทำดู”
ภาพที่วาดออกมาขายส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวน่ารัก ๆ สีสันสดใส หรือที่เรียกว่า “แนวป๊อบอาร์ท” โดยจะเน้นรูปการ์ตูนสัตว์ต่าง ๆ และดอกไม้ โดยแบบส่วนใหญ่จะพยายามคิดขึ้นมาเอง เน้นสีสันสดใส มองแล้วเพลินตา
ที่มาจับงานวาดภาพแนวนี้ ก็เนื่องจากตอนแรกยังแค่เริ่มหัดวาดภาพใหม่ ๆ ซึ่งงานแนวนี้เป็นงานวาดที่ไม่ยาก ไม่ต้องใช้เทคนิคการวาดมากมาย เพียงแต่เป็นงานที่ต้องผสมผสานใส่ไอเดียลงไปในการวาดด้วยเท่านั้น ส่วนรูปแบบ ลายต่าง ๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ ตามสมัยนิยม แต่ยังคงสไตล์เดิม...
หลังจากที่วาดภาพลงเฟรมผ้าใบขายอยู่ระยะหนึ่ง ก็เริ่มมีความคิดว่ารูปภาพที่วาดน่าจะสามารถต่อยอดเป็นสินค้าอื่น ๆ อย่างพวกแม็กเน็ต ที่แขวนพวงกุญแจ เป็นการขยายกลุ่มลูกค้า และน่าจะขายได้ง่ายกว่าภาพวาดที่เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำออกมาได้ช้า ซึ่งหลังจากทดลองทำแม็กเน็ตออกมาก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อไปเป็นของขวัญของฝาก บางคนสั่งทำเป็นของชำร่วยแจกในงานแต่งงานก็มี
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำ หลัก ๆ ก็มี... รูปวาดที่ทำเป็นเป็นรูปถ่าย, แผ่นแม่เหล็ก (ใช้แบบบางประมาณ 0.5 มิลลิเมตร โดยเลือกซื้อที่มีแถบกาวในตัว), คัทเตอร์, ไม้บรรทัด, ไม้ MDF, กาวลาเท็กซ์, เทปกาว 2 หน้า เป็นต้น
  ขั้นตอนการทำ กรณีทำเป็น “แม็กเน็ต” เริ่มจากถ่ายรูปภาพวาดต้นฉบับ ที่วาดไว้ขายอยู่แล้ว จากนั้นก็นำภาพไปทำการตกแต่งในคอมพิวเตอร์ ใช้โปรแกรมจัดตกแต่งสีและแสงให้สวยงามตามที่ต้องการ จะใส่ตัวอักษรข้อความต่าง ๆ ด้วยก็ได้ตามต้องการ จากนั้นก็จัดไซส์รูป ทำให้ได้ขนาด 6x6 ซ.ม. และ 6x8 ซ.ม. จัดวางให้อยู่ในกรอบรูปขนาด 5x7 นิ้ว จากนั้นก็นำรูปไปอัดรูปที่ร้านถ่ายรูป ก็จะได้รูปถ่ายไซส์ขนาด 5x7 นิ้ว ที่มีภาพวาดที่ตกแต่งและจะนำไปทำเป็นแม็กเน็ตอยู่ในรูปถ่ายที่อัดมา ประมาณ 3-4 รูป
หลังจากได้ภาพที่อัดมาแล้ว ก็ใช้คัทเตอร์ตัดรูปภาพออกมา จากนั้นก็นำรูปไปติดลงบนแผ่นแม่เหล็กชนิดบางที่มีแถบกาวอยู่ด้านบน ติดเรียงให้เต็มแผ่นแม่เหล็ก จากนั้นก็ตัดออกมาทีละรูป เท่านี้ก็เรียบร้อย แพ็คใส่ถุงพลาสติกใสพร้อมขายได้ทุนการทำแม็กเน็ตแบบนี้ เฉพาะทุนในส่วนของวัสดุอยู่ที่ประมาณ 5 บาทต่อชิ้น
กรณีจะทำเป็น “ที่แขวนกุญแจ” ขั้นตอนการทำก็เหมือนกับการทำแม็กเน็ต คือต้องอัดรูปก่อน โดยให้ทำไซส์รูปขนาด 8x10 ซ.ม. แล้วก็ตัดไม้ MDF เท่ากับขนาดของไซส์รูป ทำการขัดไม้ให้เรียบ จากนั้นก็ใช้สีขาวทาขอบไม้ เพื่อความสวยงาม จากนั้นก็นำรูปที่อัดมาตัดตามขนาดแล้วนำมาติดลงบนไม้ที่เตรียมไว้ ยึดติดด้วยกาวให้แน่น ใส่ตะขอสำหรับใช้แขวนพวงกุญแจเข้าไป ด้านหลังติดด้วยเทปกาว 2 หน้า เป็นอันเสร็จ พร้อมห่อใส่ถุงเตรียมขายทุนวัสดุในการทำที่แขวนกุญแจ อยู่ที่ประมาณ 10 บาทต่อชิ้น
สำหรับราคาขายนั้น แม็กเน็ตจากภาพวาดของโอเล่จะขายอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อชิ้น ส่วนราคาขายที่แขนพวงกุญแจอยู่ที่ 35 บาท ต่อชิ้น ซึ่งถ้าลูกค้าสั่งจำนวนมากก็จะได้ราคาที่ลดลงอีก
                                               
ใครสนใจชิ้นงาน “แม็กเน็ตและที่แขวนกุญแจจากภาพวาด” ของโอเล่ รวมถึงสนใจจะออเดอร์ไปจำหน่ายต่อ ไปดูกันได้ที่ เจเจ มอลล์ (JJ MALL) ชั้นใต้ดิน ซอย 8 ห้อง G276 หรือติดต่อทางโทรศัพท์ที่ โทร.08-1860-9293 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” จากการต่อยอดชิ้นงานแฮนด์เมด ที่สร้างรายได้ได้อย่างพิจารณา.
                                                 
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์
.......................................................................
คู่มือลงทุน...แม็กเน็ตภาพวาด
ทุนเบื้องต้น    ประมาณ 5,000 บาท
ทุนวัสดุ        ประมาณ     5 บาท / ชิ้น
รายได้        ราคาขาย 20 บาท / ชิ้น
แรงงาน        1 คน
ตลาด        กลุ่มของขวัญ, ของชำร่วย
จุดน่าสนใจ    ลงทุนต่ำ-ทำได้ไม่ยากเกิน

http://www.dailynews.co.th/article/384/167020

Friday, November 9, 2012

แนะนำอาชีพ “ตุ๊กตาร้อยลูกปัด”

ข้อดีของอาชีพทำงานประดิษฐ์คือความไม่ตายตัว เพราะเป็นอาชีพที่คนคิดงาน-คนจัดทำสามารถพลิกแพลงต่อยอดพัฒนาลูกเล่นได้หลาก หลาย ไม่ต้องยึดติดกับรูปแบบคงที่ บางชิ้นงานก็นำ 2 ชนิดงาน หรือ 3 ชนิดงาน มาผสานผสมกันได้อย่างลงตัว จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ เป็นจุดเด่นของสินค้า อย่างเช่นงาน ’ลวดดัด+ลูกปัด“ เป็น ’ตุ๊กตา“...
                  
“อัศนี นุ้ยเครือ” เล่าว่า อาชีพหลักคือรับราชการ แต่ด้วยความที่สนใจงานฝีมือ-งานประดิษฐ์เป็นทุนเดิม จึงมักขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับลูกปัดและงานลวดดัดที่ทำอยู่นี้ เมื่อเริ่มชำนาญขึ้นจึงลองคิดประดิษฐ์ชิ้นงานของตนเองขึ้น โดยอาศัยเวลาว่างจากงานประจำในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ โดยปัจจุบันทำจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ในชื่อ www.siricha.com นอกจากนี้ก็ยังนำไปฝากวางขายที่ตลาดนัดจตุจักร เพื่อหารายได้เสริม

แรงบันดาลใจในการคิดประดิษฐ์ชิ้นงานลวดดัดกับลูกปัดจนเกิดเป็นรูปแบบตัว สัตว์ที่หลากหลายนี้ เริ่มจากการที่เห็นว่างานลูกปัดส่วนใหญ่มักเป็นสินค้าประเภทเครื่องประดับ อาทิ สร้อย เข็มกลัด หรือกำไล จึงคิดว่าน่าจะลองทำรูปแบบอื่น ๆ จึงลองทำเป็นรูปสัตว์ขึ้นมา

อัศนีเล่าต่อไปว่า ชิ้นงานที่ทำขึ้น ลูกค้ามักจะเรียกว่า ’ตุ๊กตาสัตว์ร้อยลูกปัด“ แต่ถ้าหากเป็นชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของสินค้าก็มักจะเรียกว่า เป็นชิ้นงานประเภท ’แอนิมอลบีด“ ปัจจุบันชิ้นงานมีหลายแบบ อาทิ แมงมุม, กบ, ปลาทอง, เต่า, นก โดยรูปแบบที่ลูกค้านิยมและชื่นชอบเป็นพิเศษ คือ ตุ๊กตากิ้งก่าลูกปัด โดยเน้นรูปแบบที่คล้ายจริง เน้นสีสัน และลวดลาย ที่เกิดขึ้นจากการร้อยลูกปัดในรูปแบบต่าง ๆ 

“จุดเด่นที่ลูกค้าชื่นชอบคือ รายละเอียดและความประณีตของชิ้นงาน โดยลวดลายที่เกิดขึ้น เกิดจากการจัดวางรูปแบบการร้อยลูกปัดให้เกิดเป็นลวดลายหลากหลาย สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้จะสนใจและให้คุณค่ากับงานฝีมือประเภทนี้มากกว่าลูกค้าใน ประเทศ” อัศนีกล่าว

ทุนเบื้องต้นสำหรับการทำงานลักษณะนี้ ใช้ประมาณ 4,500 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าวัตถุดิบและวัสดุ โดยทุนวัตถุดิบ-วัสดุอยู่ที่ประมาณ 30% จากราคาขาย ที่เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 100 บาท ไปจนถึง 1,000 บาท ขึ้นกับขนาดและความยากง่ายของการทำชิ้นงาน ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้หลัก ๆ ก็มี คีมตัดลวด, ลวดสำหรับดัดขึ้นโครง, ลวดเส้นบางสำหรับร้อยลูกปัด, ลูกปัดสี โดยแหล่งซื้อวัสดุคือตลาดสำเพ็ง ซึ่งมีอุปกรณ์งานลวดดัดและงานลูกปัดจำหน่ายหลากหลาย

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการออกแบบรูปสัตว์ที่จะทำ เมื่อได้รูปสัตว์ที่จะทำแล้วจึงทำการขึ้นโครงร่างด้วยการใช้ลวดดัดขึ้นโครง ร่างเป็นรูปสัตว์ที่ออกแบบไว้ก่อน หากยังไม่ชำนาญแนะนำว่าควรใช้วิธีการวาดลงบนกระดาษเพื่อกำหนดจุดที่จะทำก่อน ที่จะขึ้นชิ้นงาน เพราะหากขึ้นชิ้นงานแล้ว การจะกลับไปแก้ไขรายละเอียดใหม่จะค่อนข้างทำได้ยาก

เมื่อได้โครงลวดที่ดัดเป็นรูปตัวสัตว์แล้ว ก็ทำการเริ่มต้นร้อยลูกปัด โดยนำลูกปัดสีที่เลือกไว้มาร้อยด้วยลวดเส้นบาง การร้อยให้เริ่มจากตรงส่วนหัวก่อน โดยร้อยต่อไปเรื่อย ๆ จนครบหมดทั้งตัว สำหรับลวดลายนั้นขึ้นอยู่กับว่าต้องการลายแบบไหน โดยใช้สีสันจากลูกปัดเป็นตัวเสริมให้ลวดลายดูโดดเด่นขึ้น จากนั้นทำการตกแต่งตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ ทั้งนี้ กรณีจะทำเป็นงานตุ๊กตาลูกปัดแบบลอยตัว จะใช้เวลาทำนานกว่า โดยต้องทำการร้อยลูกปัดทั้งตัว

“วิธีการทำมีไม่มาก แต่ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาและความอดทนในการทำ ถ้าใครอยากทำงานแบบนี้ ต้องเริ่มการมีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักนำจินตนาการของตัวเองมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดเป็นชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง สิ่งสำคัญคือต้องรู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเองด้วย เพราะอาชีพนี้เป็นงานที่ไม่สามารถผลิตได้ทีละมาก ๆ ถ้ารับตรงนี้ได้ ก็ถือว่าพร้อม” เป็นคำแนะนำทิ้งท้ายจากผู้ผลิตชิ้นงานจากลวดดัดผสมงานลูกปัดรายนี้
ใครสนใจ ’ตุ๊กตาสัตว์ร้อยลูกปัด“ คลิกเข้าไปดูรูปแบบชิ้นงานได้ตามที่อยู่เว็บไซต์ที่ระบุไว้ในตอนต้น หรือไปเดินดูได้ที่ตลาดนัดจตุจักร โครงการ 25 ซอย 2/2 หรือถ้าต้องการติดต่ออัศนี ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2410-2188, 08-6093-1130 ซึ่งนี่ก็เป็นอีก ’ช่องทางทำกิน“ ที่เกิดจากการผสานงาน 2 ชนิดเข้าไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นสินค้าที่สะดุดตาลูกค้า.

http://www.dailynews.co.th/article/384/165735

Sunday, November 4, 2012

แนะนำอาชีพ “กระเช้าดอกไม้หอม”

“กระเช้าดอกไม้หอม” อีกงานประดิษฐ์ที่เป็นของชำร่วย ของฝาก ของที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ หากฝึกฝนดี ๆ ก็สามารถทำเป็นอาชีพสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้ได้พิจารณากัน...
        
อรุณี บุนนาค เจ้าของงาน “กระเช้าดอกไม้หอม” เล่าว่า มีอาชีพรับทำและรับสอนการทำกระเช้าดอกไม้หอมนี้มาประมาณ 1 ปี ก่อนหน้าที่จะมายึดอาชีพนี้เธอทำเครื่องเงินกับสามีมาก่อน ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีจึงเลิก และขยับขยายตัวเองมาทำอย่างอื่น ช่วงที่ว่างก็ไปเรียนฝึกอาชีพกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เปิดสอน อาทิ พับเหรียญบุญ ดอกไม้ผ้าใยบัว ฯลฯ ส่วนกระเช้าดอกไม้หอมนี้เธอไปเรียนมาจากผู้สูงอายุอีกทีหนึ่ง แล้วมาประยุกต์เป็นแบบฉบับของตัวเอง

วัสดุที่ใช้ทำกระเช้าดอกไม้หอม หลัก ๆ ก็มี สบู่หอม (ขนาดยาว 7 ซม. กว้าง 4 ซม.) เลือกแบบที่มีแอ่งตรงกลาง, ริบบิ้นผ้า 1 ม้วน, หมุดเล็ก 46 ตัว, หมุดเย็บผ้า 24 ตัว, กระดาษย่นเขียว ขนาด 7x7 ซม., กระดาษย่นพันก้าน, โฟมขนาด 3x4.5x1 ซม., กระดาษแข็งขนาด 3x4.5 ซม. (ตัดเป็นรูปวงรี), ลวดทำดอกไม้ เบอร์ 20 จำนวน 2 เส้น, กาว, ดอกไม้ประดิษฐ์ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้นั้น  ก็มีกรรไกรอย่างเดียว

เจ้าของงาน “กระเช้าดอกไม้หอม” รายนี้อธิบายว่า “สบู่” จะเปรียบเสมือน “ตัวกระเช้า” ทั้งหมด แต่วิธีการที่จะอธิบายต่อไป คือการตกแต่งกระเช้าให้ดูสวยงามเริ่มที่ การตั้งฐานเข็มหมุดเพื่อโยงริบบิ้นห่อสบู่  วิธีทำคือ นำกระดาษแข็งที่ตัดเป็นรูปวงรีไปวางไว้ที่บริเวณแอ่งของก้อนสบู่ ปักหมุดเล็กลงบนกระดาษแข็ง หัว-ท้าย ด้านแนวนอน ฝั่งละ 1 ตัว และปักหมุดเย็บผ้าไว้ตรงกลางอีก 2 ตัว เสร็จแล้วปักหมุดเล็ก 20 ตัว ลงบนเนื้อสบู่ให้รอบกระดาษ (ปักให้ลึกประมาณ  1 ซม.)  โดยแบ่งช่องไฟช่องละ 0.5 ซม.  เสร็จแล้วดึงกระดาษแข็ง หมุดเล็ก และหมุดเย็บผ้าออกมา       
ทำแบบเดียวกันนี้บนสบู่อีกด้านหนึ่งเสร็จแล้วให้พับริบบิ้นผ้า เพื่อห่อสบู่ ด้วยการเอาหมุดเล็กปักปลายริบบิ้นผ้า แล้วไปจิ้มที่บริเวณกลางแอ่งสบู่ (จะเรียกว่าเป็นด้านบน) ดึงริบบิ้นผ้าลงมาพันรอบหมุดเล็กที่อยู่ด้านล่าง เสร็จแล้วดึงริบบิ้นผ้าขึ้นไปพันหมุดเล็กที่อยู่ด้านบน พันอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบรอบสบู่      
ขั้นตอนถัดไปคือ การตกแต่งสบู่ เริ่มต้นด้วยการปักหมุดเย็บผ้า 24 ตัว ด้านข้างสบู่ให้รอบ กะช่องไฟให้ดูสวยงาม เสร็จแล้วให้ พันริบบิ้นผ้ารอบหมุดเย็บผ้า วิธีทำ ให้เอาหมุดเย็บผ้าปักปลายริบบิ้นผ้า แล้วไปปักแทรกตรงกลางของช่องว่างหมุดเย็บผ้า (ตรงไหนก็ได้) เสร็จแล้วพันริบบิ้นผ้ารอบหมุดเย็บผ้าตัวที่ปักลงไปก่อน แล้วพันรอบหมุดเย็บผ้าตัวถัดไป ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ พันโดยทำแบบเดียวกันนี้อีก 2 รอบ จะได้ลายกระเช้า 3 ชั้นจากนั้นก็ทำแบบนี้อีก แต่ให้ไปพันรอบหมุดเล็กที่ปักไว้ทั้งด้านบนและด้านล่างของสบู่
โดยพันด้านละ 3 รอบเช่นกัน

ขั้นตอนต่อไปคือ การทำหูกระเช้าดอกไม้ เตรียมลวดดอกไม้ 2 เส้น เริ่มด้วยพันกระดาษย่นบนลวดเส้นแรกก่อน โดยพันกระดาษย่นขึ้นไป 3 นิ้ว  แล้วนำลวดอีกเส้นมาประกบ  แล้วพันกระดาษย่นต่อให้ลวดทั้ง 2 เส้นติดกัน พันไปเรื่อย ๆ จนลวดเส้นที่ 2 เหลือที่ว่าง 3 นิ้ว เสร็จแล้วแยกลวดออกไป แล้วพันกระดาษย่นบนลวดเส้นที่ 1 ต่อไปจนสุด นำหูกระเช้าไปเกี่ยวติดกับก้อนสบู่  โดยให้ขาของหูกระเช้าทั้ง 2 ขา  เกี่ยวกับหมุดเย็บผ้าด้านซ้ายและด้านขวาของสบู่ พับเก็บด้วยการหมุนให้ขาลวดทั้ง 2 ขาคล้องกัน ทำแบบนี้ทั้ง 2 ด้าน

ตัดโฟมที่เตรียมไว้ให้เป็นรูปวงรี เสร็จแล้วใช้กระดาษย่นขนาด 7x7 ซม. ห่อโฟมให้เรียบร้อย ทากาวแล้วนำไปแปะบนแอ่งสบู่ เสร็จแล้วตกแต่งด้วยดอกไม้ประดิษฐ์ให้เรียบร้อยสวยงาม เป็นอันเสร็จขั้นตอน

กระเช้าดอกไม้หอมนี้ ขายได้ในราคากระเช้าละ 60 บาทขึ้นไป โดยมีต้นทุนวัสดุกระเช้าละประมาณ 30 บาทขึ้นไป
ใครสนใจ “กระเช้าดอกไม้หอม” ต้องการติดต่อกับ อรุณี บุนนาค ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-4693-1065 ซึ่ง “ช่องทางทำกิน” ลักษณะนี้ หากฝีมือดี ไอเดียดี น่าจะยังสามารถต่อยอดทำเงินได้อีกนาน.

http://www.dailynews.co.th/article/384/164555

Friday, November 2, 2012

แนะนำอาชีพ ‘เก้าอี้แฮนด์เมด’

งานแฮนด์เมด และออกแนววินเทจ ที่ให้กลิ่นอายของเก่า เป็นสินค้าที่ยังอยู่ในกระแสนิยม อย่าง ’เก้าอี้แฮนด์เมด“ ที่เป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยมือทุกขั้นตอน เป็นเก้าอี้ที่มีเบาะนั่งเป็นฟองน้ำ หุ้มด้วยผ้าลายดอกไม้ ออกแนววินเทจ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นงานที่ทำรายได้ให้กับเจ้าของผลงานได้อย่างดี ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีข้อมูลมาให้ลองพิจารณา...
              
จันทร์-วรรณจันทร์ พิพัฒน์ศิริศักดิ์ เจ้าของผลงาน “เก้าอี้แฮนด์เมด” เล่าว่า เริ่มต้นอาชีพการงานด้วยการเป็นพนักงานประจำด้านกราฟิกดีไซน์ ออกแบบสิ่งพิมพ์ แต่หลังจากที่ทำงานประจำอยู่ได้พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อ ๆ จึงตัดสินใจที่จะออกจากงานประจำ แต่ก็ยังรับงานออกแบบสิ่งพิมพ์อยู่ โดยรับเป็นงาน ๆ ไป ทำเป็นฟรีแลนซ์ และเริ่มมองหาอาชีพอื่นทำเสริมควบคู่ไปด้วย แต่ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร
  
พอดีมีอยู่วันหนึ่งมีคนมาชวนไปขายของที่หัวหิน ซึ่งช่วงนั้นตลาดที่นั่นเขาให้ไปขายฟรีไม่เสียค่าเช่าที่ ก็เลยลองไปขายดู แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไร เพราะยังไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง ในที่สุดครั้งนั้นก็เอาต้นโฮย่าไปขาย ก็พอขายได้ จากนั้นก็เริ่มขายของเรื่อยมา ขายแบบซื้อมาขายไป ยังไม่มีสินค้าที่เป็นของตัวเองที่โดดเด่นจริง ๆ ซึ่งก็พยายามสร้างสรรค์สินค้าของตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูป ตุ้มหู ที่เป็นงานแฮนด์เมด แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเท่าที่ควร
  
จนในที่สุดได้เห็นแม่นำเก้าอี้ที่บ้านที่เบาะขาดมาซ่อม นำเอาผ้ามาหุ้มเบาะเก้าอี้ตัวนั้น จึงเกิดความคิดและไอเดียที่จะทำเก้าอี้ที่เบาะหุ้มด้วยผ้าที่มีลวดลายออกแนว วินเทจ คิดว่าน่าจะลองทำจำหน่ายดู หลังจากที่เกิดความคิดแล้วก็ลงมือทำทันที โดยช่วยกันกับแฟน คิดออกแบบและผลิตออกมาจำหน่าย ลองผิดลองถูกอยู่ไม่นาน ประมาณ 1-2 วัน ก็สามารถทำเก้าอี้อย่างที่ตัวเองต้องการออกมาได้สำเร็จ
  
เมื่อทำได้สำเร็จก็ทดลองผลิตเก้าอี้ออกมาสู่ท้องตลาดครั้งแรก 5 ตัวก่อน เป็นการทดสอบตลาด ซึ่งหลังจากที่นำออกไปวางขาย ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ขายหมด แถมยังมีคนมาถามหาซื้ออีก จึงทำให้เป็นการจุดประกายที่จะทำ “เก้าอี้แฮนด์เมด” แบบนี้ออกมาขายอีก และก็พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ สวยงาม และคงทนมากขึ้น อีกทั้งมีการออกแบบให้มีความหลากหลายมากขึ้นด้วย ซึ่งเก้าอี้แฮนด์เมดนี้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
  
ตอนนี้เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ก็ได้แตกไลน์สินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นอีก มีทั้งหมอนอิง เบาะรองนั่ง กระเป๋าใส่เหรียญ รองเท้าเด็ก ฯลฯ ไว้ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อมากขึ้น...
  
“สินค้าทุกชิ้น เราคิด ออกแบบ และทำกันเองกับมือทั้งหมด เพราะฉะนั้นชิ้นงานที่ทำออกมาแต่ละสัปดาห์จะได้ไม่เยอะ เพราะทำมือทุกขั้นตอน เราทำเองเราสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าของเราได้ดี” จันทร์กล่าว
  
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำ “เก้าอี้แฮนด์เมด” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ไม้สน, ฟองน้ำอัด, ผ้าคอตตอน, เลื่อยจิ๊กซอว์ (เลื่อยฉลุไฟฟ้า), ตัวยิงแม็ก, กาวลาเท็กซ์, ไม้อัด และเครื่องมือช่างต่าง ๆ อีกบางส่วน
  
ผ้าคอตตอนที่ใช้เป็นผ้าคอตตอน 100% อย่างดี ซึ่งนอกจากเนื้อผ้าจะดีแล้วก็ยังมีลวดลายที่สวย ๆ ให้เลือกใช้เยอะ ซึ่งจะเน้นใช้ลายผ้าที่เป็นลายดอกไม้ต่าง ๆ ส่วนเบาะก็จะเลือกใช้เบาะเกรดเอ เป็นฟองน้ำอัด (เป็นเบาะที่ใช้ทำที่นอนอย่างดี มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน)
  
ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากการออกแบบทรงขาเก้าอี้ที่ต้องการก่อน เมื่อได้ทรงขาเก้าอี้ตามที่ต้องการ เมื่อได้แบบแล้ว ก็ตัดเป็นแพทเทิร์นออกมา นำแพทเทิร์นวาดบนกระดาษแข็ง วาดแล้วตัดกระดาษแข็งตามแบบ จากนั้นนำกระดาษแข็งที่ตัดแล้วไปวางทาบลงบนไม้สน วาดตามแบบลงบนไม้แล้วใช้เลื่อยฉลุไฟฟ้าตัดตามแบบ โดยขาเก้าอี้ 1 ขา จะต้องตัดแบบ 2 ชิ้น ดังนั้น ขาเก้าอี้ 4 ขา ก็ต้องตัดแบบ 8 ชิ้น
  
หลังจากที่ได้ขาเก้าอี้ที่ตัดออกมาแล้ว ให้นำแบบไม้ 2 ชิ้นมาประกบทำมุมฉากกัน ใช้กาวลาเท็กซ์ติดยึดก่อน พอกาวแห้งก็ใช้ตะปูเข็มตอกยึดอีกทีเพื่อให้แน่นหนา ทำแบบเดียวกับอีก 3 ขา เท่านี้ก็จะได้ขาเก้าอี้มาเตรียมไว้
  
จากนั้นก็นำไม้สน 4 ท่อน มายึดติดกับขาเก้าอี้ทั้ง 4 ขาที่ทำเตรียมไว้ ยึดด้วยตะปูให้แน่น ใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบ แล้วทาแล็กเกอร์ รอให้แห้งสนิท ก็จะได้เป็นตัวเก้าอี้ไม้เตรียมรอไว้
  
ขั้นตอนต่อไปเป็นการทำเบาะนั่ง ตัดไม้อัดให้พอดีกับขนาดของเก้าอี้ที่เตรียมไว้ โดยใช้ไม้อัดหนาประมาณ 10 มิลลิเมตร จากนั้นนำฟองน้ำอัด หนาประมาณ 1 นิ้ว ตัดให้พอดีกับไม้อัด มาวางลงบนแผ่นไม้อัด เลือกลายผ้าที่ต้องการมาหุ้มลงบนฟองน้ำกับไม้อัด ดึงผ้าให้ตึง ใช้ตัวยิงแม็กยิงยึดให้แน่น (ผ้าที่ขึงจะต้องตึง มิฉะนั้นเบาะจะไม่สวย)

เมื่อได้เบาะนั่งแล้ว ก็นำเบาะนั่งนี้ไปประกอบติดกับตัวเก้าอี้ที่ทำเตรียมไว้ โดยนำเบาะไปวางด้านบนตัวเก้าอี้ จากนั้นใช้นอตยึดติดให้แน่น เท่านี้ก็จะได้ “เก้าอี้แฮนด์เมด” แนววินเทจ พร้อมจำหน่าย เก้าอี้แฮนด์เมดผลงานของจันทร์ มีขนาดสูง 30 เซนติเมตร เบาะนั่งกว้างขนาด 25x25 เซนติเมตร ตั้งราคาขายอยู่ที่ตัวละ 380 บาท ถ้าลูกค้าสั่งทำในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามขนาดของเก้าอี้ที่ทำออกมา

ใครสนใจ ’เก้าอี้แฮนด์เมด“ ที่ว่ามานี้ มีร้านขายอยู่ที่ตลาดซิเคด้า หัวหิน ขายทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-23.00 น. และที่ตลาดนัดรถไฟ โกดัง 3 ล็อก L4 วันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-24.00 น. หรือเข้าไปดูได้ใน www.facebook.com/ทำกะมือ-tamgamue ส่วนเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเจ้าของ ’ช่องทางทำกิน“  รายนี้คือ โทร. 08-1906-6676, 08-0051-0588.     

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์

.........................................

คู่มือลงทุน...เก้าอี้แฮนด์เมด

ทุนเบื้องต้น     ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ    ประมาณ 60% ของราคา
รายได้    ราคาขายตัวละ 380 บาท
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ตลาดนัด, แหล่งท่องเที่ยว
จุดน่าสนใจ    จุดขายคือแฮนด์เมดแนววินเทจ    

http://www.dailynews.co.th/article/384/164325