Friday, May 31, 2013

แนะนำอาชีพ "รับซ่อมบิ๊กไบค์"

อาชีพบริการเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยทักษะและความเข้าใจในบริการด้านนั้น ๆ บางอย่างมองด้วยตาอาจดูยาก แต่หากรับการฝึกฝนหรืออบรมก็มีโอกาสยึดเป็นอาชีพได้ อย่าง ’รับซ่อมรถจักรยานยนต์“ โดยเฉพาะประเภทที่เรียกว่า ’รถบิ๊กไบค์“ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานบริการที่ตลาดกำลังต้องการ แต่ยังมีคนทำน้อย และทางทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็ได้รับข้อมูลจาก ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ว่ามีการ เปิดอบรมด้านนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จึงหยิบยกมานำเสนอ... .................... พนม อินทร์ภู่มะดัน หรือ อาจารย์หมู บอกว่า ความแตกต่างของรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ (Big Bike) กับรถจักรยานยนต์ทั่วไปนั้น จำแนกได้ดังนี้ บิ๊กไบค์ หมายถึงรถจักรยานยนต์ที่มีขนาด 250 ซีซีขึ้นไป ซึ่งแบ่งเครื่องยนต์เป็น แบบ 1 สูบ, 2 สูบ, 3 สูบ, 4 สูบ และ 6 สูบ การซ่อมดูแลจึงแตกต่างจากรถจักรยานยนต์ทั่วไป เพราะมีรายละเอียดมากกว่า ซึ่งร้านบริการซ่อมหรือช่างฝีมือที่ทำงานตรงนี้ยังมีอยู่น้อยมาก ถ้าเทียบกับตลาดของรถประเภทนี้ที่กำลังได้รับความนิยม จึงทำให้เกิดความคิดที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ตนมี โดยเปิดเป็น “หลักสูตรการซ่อมบิ๊กไบค์” ขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจนำไปประกอบอาชีพ หรือเปิดร้านรับซ่อม โดยที่จะสอนมี 4 หลักสูตรคือ การซ่อมบำรุงรักษาเบื้องต้น, การซ่อมบำรุงเครื่องยนต์, ระบบไฟฟ้า, ระบบรองรับน้ำหนัก-ระบบขับเคลื่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เป็นอาชีพหรือเปิดร้านได้เลย “ตลาดรถบิ๊กไบค์ขยายตัวรวดเร็ว แต่ร้านหรือช่างที่ซ่อมได้อย่างถูกต้องนั้นมีน้อย สำหรับคุณสมบัติเบื้องต้น อันดับแรกหากใครคิดจะทำอาชีพด้านนี้คือ เรื่องความซื่อสัตย์ อันดับสองมีใจรักทางด้านเครื่องยนต์ และชอบงานบริการ ส่วนความรู้นั้นฝึกฝนกันได้ แต่ถ้าใครมีพื้นฐานช่างยนต์มาบ้างก็จะยิ่งไปได้เร็ว” พนมกล่าว ทุนเบื้องต้นสำหรับอาชีพลักษณะนี้ ไม่รวมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับร้าน ค่าตกแต่งร้าน ค่าสถานที่ จะลงทุนประมาณ 39,800 บาท เป็นค่าเครื่องมืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการเปิดร้าน ส่วนทุนหมุนเวียนขึ้นอยู่กับค่าอะไหล่ ค่าแรงงาน และขึ้นกับปริมาณของการบริการเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับกรณีของรายได้ที่ก็ขึ้นกับปริมาณการให้บริการ เครื่องมือกับอุปกรณ์ หลัก ๆ ก็แบ่งเป็น เครื่องมือสำหรับช่างยนต์ทั่วไป และเครื่องมือพิเศษเฉพาะ อาทิ เครื่องวัดกำลังอัดลูกสูบแหวน, เครื่องเวคัมวัดลิ้นเร่ง, อุปกรณ์ดูดน้ำมันเครื่อง, เครื่องมัลติมิเตอร์, เครื่องเวอร์เนียคาลิปเปอร์, เครื่องไมโครมิเตอร์ เป็นต้น พนมผู้ให้ข้อมูล กล่าวอีกว่า เครื่องมือเฉพาะนั้นใช้เงินลงทุนประมาณ 24,900 บาท ส่วนเครื่องมือช่างยนต์ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 14,900 บาท รายได้หลักอาชีพนี้จะมาจากงานบริการเบื้องต้น เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หัวเทียน ผ้าเบรก ยางอะไหล่ ส่วนรายได้อีกส่วนจะเป็นงานซ่อมหรือปรับแต่งรถ อาทิ งานระบบไฟฟ้า และการปรับแต่งเครื่องยนต์ การลงทุนครั้งแรกอาจดูสูง เพราะจำเป็นต้องมีเครื่องมือสำหรับใช้ในงานซ่อม แต่หากมีบางชิ้นอยู่แล้วทุน ส่วนนี้ก็จะลดลงอีก หรืออาจแยกซื้อเท่าที่จำเป็น ซึ่งถ้ามีครบก็จะทำให้รับงานได้หลากหลาย และทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น เคล็ดลับการทำงานบริการหรือเปิดร้านให้บริการด้านนี้ พนมกล่าวแนะนำว่า ควรศึกษาที่มาที่ไปของระบบเครื่องยนต์ เทคนิคการซ่อม การทำงานของเครื่องมือพิเศษ แนวโน้มตลาด รวมถึงควรสำรวจหาแหล่งอะไหล่อยู่เสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การบริหารงานของร้านมีประสิทธิภาพ และทำให้ร้านสามารถสร้างระบบที่ดีได้นั่นเอง “อาชีพนี้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป หากสนใจที่อยากจะทำเป็นอาชีพจริงจัง” พนมกล่าว... ใครสนใจอบรม ’ซ่อมรถบิ๊กไบค์“ เพื่อใช้เป็น’ช่องทางทำกิน“ ติดต่อศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ได้ที่ เลขที่ 58 หมู่ 2 ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โทร. 0-3247-0391-3 หรือติดต่อ อาจารย์หมู-พนม อินทร์ภู่มะดัน ที่ โทร. 08-5947-7206 และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.panombigbike.blogspot.com ซึ่งอาชีพรับซ่อมรถบิ๊กไบค์นี่ก็ถือเป็นงานบริการอีกด้านที่น่าสนใจ และน่าพิจารณามาก ๆ ในตอนนี้. ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/384/208404

Thursday, May 30, 2013

แนะนำอาชีพ ‘เมี่ยงบัวหลวง’

เมี่ยงคำ” เป็นอาหารว่างของไทยที่ได้รับความนิยมมายาวนาน นอกจากจะอร่อยแล้ว เมื่อลองแยกส่วนประกอบในเมี่ยงคำก็จะพบว่ามีแต่อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่าง กาย ในเมี่ยงคำหนึ่งคำประกอบไปด้วยสมุนไพรนานาชนิดที่ใช้เป็นเครื่องเคียง เช่น มะนาว มะพร้าวคั่ว หอมแดง พริกขี้หนู ขิง ส่วนใบเมี่ยงที่ใช้ห่อโดยทั่วไปจะใช้ใบชะพลูหรือใบทองหลางที่อุดมไปด้วย แคลเซียมและมีกากใยสูง แต่ทั้งนี้ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอข้อมูล “เมี่ยงบัวหลวง” ซึ่งก็น่าสนใจเช่นกัน…
ผู้ที่จะมาให้ข้อมูลเรื่องนี้คือ ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม ผู้คิดค้น “เมี่ยงบัวหลวง” ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำ สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี โดย ผศ.พงษ์ศักดิ์ เล่าให้ฟังถึงที่มาของการคิดค้นเมนูชูสุขภาพนี้ว่า เมื่อเอ่ยถึง “บัว” หลายคนอาจคิดถึงการใช้ดอกบัวสำหรับไหว้พระเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วมีผลงานการวิจัยจากต่างประเทศที่ได้ศึกษาเฉพาะด้านเกี่ยวกับบัว พบว่า กลีบบัวมีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ห้ามเลือด อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เมล็ดหรือเม็ดบัวบำรุงกำลัง ทำให้นอนหลับดีและแก้ไข้ เกสรบัวเป็นยาสมานแผลในร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท และส่วนที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจและสำคัญที่สุดคือ ดีบัว เวลากินจะมีรสชาติขม แต่มีคุณสมบัติสามารถขยายหลอดเลือดในหัวใจได้

“วิธีทำเมี่ยงบัวหลวงนั้นง่าย ๆ เหมาะทำรับประทานในครัวเรือน เหมาะกับผู้รักษาสุขภาพและต้องการไฟเบอร์สูง อีกทั้งเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าดอกบัวหลวงที่มีมากในจังหวัดปทุมธานี และช่วยเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง” ผศ.พงษ์ศักดิ์ระบุ

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ หลัก ๆ ก็เป็นเครื่องมือเครื่องไม้ที่ใช้กันอยู่ในครัวเรือนทั่วไป สามารถหยิบยืมมาใช้ได้

ส่วนผสม “น้ำเมี่ยง” ประกอบด้วย...น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย, น้ำตาลทราย 1 ถ้วย, น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย, น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ, รากผักชีคั่วโขลก 1 ช้อนชา, กะปิเผา 1/2 ช้อนชา, ข่าคั่วโขลก 1 ช้อนชา หรือมาก-น้อยตามชอบ

เครื่องเคียงที่ใช้ในการทำเมี่ยง ก็มี...มะพร้าว, ถั่วลิสง, กุ้งแห้ง, มะนาว, ขิงแก่, พริกขี้หนูสด, หอมแดง และขาดไม่ได้คือ ดอกบัวหลวงปทุมธานี (เกสร, เม็ดบัว, กลีบดอก)

ขั้นตอนการทำ “เมี่ยงบัวหลวง” เริ่มจากการทำน้ำเมี่ยงก่อน โดยการนำเอาส่วนผสมทั้งหมด คือน้ำตาลปี๊บ น้ำสะอาด น้ำปลา รากผักชีคั่วโขลก กะปิเผา ข่าคั่วโขลก ใส่รวมกันลงไปในหม้อแล้วยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยว โดยใช้ไฟอ่อนกำลังดี ทำการเคี่ยวไปเรื่อย ๆ ขณะเคี่ยวน้ำเมี่ยงควรใช้ทัพพีหมั่นคนตลอดเวลาเพื่อป้องกันการไหม้ การเคี่ยวน้ำเมี่ยงต้องมีความอดทนพอสมควร เพราะการเคี่ยวนั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ชั่วโมง น้ำเมี่ยงถึงจะส่งกลิ่นหอมหวนชวนรับประทาน

ระหว่างที่เคี่ยวน้ำเมี่ยง ก็เตรียมเครื่องเมี่ยงหรือเครื่องเคียงไปด้วย นำมะพร้าวที่เตรียมไว้มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ คั่วให้เหลืองหอม ถั่วลิสงนำมาคั่วแล้วเลาะเอาเปลือกออก ใส่ถุงหรือภาชนะที่มีฝาปิดแน่น (กันลมเข้า) เตรียมไว้ พวกมะนาว ขิง หอมแดง และพริกขี้หนูสด นำมาล้างให้สะอาด และสะเด็ดน้ำ แล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าหรือตามความเหมาะสม

ส่วนดอกบัวหลวงที่ใช้ในการห่อเมี่ยงนั้น ทำการล้างทำความสะอาดโดยมีเทคนิคคือ นำน้ำใส่ลงไปในกะละมัง ผสมเกลือเล็กน้อย (จะได้ความสะอาดและความสด) เด็ดเอาส่วนของเกสรและเม็ดบัวเก็บไว้ก่อน เด็ดกลีบดอกบัวลงล้างทีละกลีบ เมื่อล้างเสร็จแล้วก็นำมาวางให้สะเด็ดน้ำ เตรียมไว้

สำหรับน้ำเมี่ยง เมื่อเคี่ยวได้ที่ดีแล้วก็ยกลงจากเตาตั้งไว้ให้เย็น (น้ำเมี่ยงจะต้องมีลักษณะที่ไม่ใส-ไม่ข้นเกินไป) ตักน้ำเมี่ยงใส่ถ้วย จัดเรียงเตรียมไว้กับเครื่องเมี่ยงให้เรียบร้อย เมื่อจะรับประทานก็หยิบกลีบของดอกบัวหลวงมาใส่เครื่องเมี่ยง ใส่มะพร้าวคั่ว ถั่วลิสงคั่ว เม็ดบัว กุ้งแห้ง มะนาวหั่น ขิงหั่น หอมแดงหั่น ขิงหั่น และใส่เกสรบัวลงไปด้วย จากนั้นตักน้ำเมี่ยงราดและห่อเป็นคำพอดี รับประทานเหมือนกับการรับประทานเมี่ยงคำทั่วไป แต่จะได้ความหอมจากดอกบัว และรสชาติที่กลมกล่อมจากน้ำเมี่ยง พร้อมคุณค่าทางโภชนาการมากมาย

เคล็ดลับความหอมอร่อยของ “เมี่ยงบัวหลวง” นั้น ผศ.พงษ์ศักดิ์บอกว่า อยู่ที่ดอกบัวหลวงและเกสร ควรเลือกดอกที่กำลังจะบาน เพราะจะได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ และหัวใจสำคัญอีกอย่างคือน้ำเมี่ยงที่เคี่ยวจนได้กลิ่นหอมและรสชาติดี

ทั้งนี้ การลงทุนขายเมี่ยงบัวหลวงนั้น ไม่ต้องใช้เงินมาก แต่ต้องทำใจกับการเตรียมของที่จุกจิก ทั้งน้ำเมี่ยง และเครื่องเคียง ต้องจัดเป็นชุด ๆ กะปริมาณให้มีความเหมาะสมกับราคาขายซึ่งสุดแท้แต่จะตั้ง แต่ทั้งนี้ก็ควรให้มีกำไรเป็นค่าแรงประมาณ 50% จากราคาขาย จึงจะสมน้ำสมเนื้อกับการทำที่มีขั้นตอนค่อนข้างจุกจิก
ใครสนใจเรื่อง “เมี่ยงบัวหลวง” ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำสาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ติดต่อได้ที่ โทร. 08-9600-0993 ซึ่ง ผศ.พงษ์ศักดิ์บอกว่า ยินดีให้ข้อมูล เพราะอยากให้คนไทยช่วยกันอนุรักษ์อาหารแบบไทย ๆ ไว้นาน ๆ ค่ะ!!.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/384/206972

Friday, May 24, 2013

แนะนำอาชีพ ‘ข้าวซอยตัด’

“ข้าวซอยตัด“ เป็นขนมทางเหนือ เป็นขนมหวานทานเล่น หรือทานกับชากาแฟก็ได้ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ร่วมคณะบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)–เซเว่น อีเลฟเว่น ไปเยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าที่ จ.ลำพูน และเยี่ยมชมกิจการ หจก.ชัยสิทธิ์ ฤทธา ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวซอยตัด “ปลาทอง” จ.เชียงใหม่ ก็ได้ข้อมูล “ข้าวซอยตัด” มาฝากกัน...
   
ปัญญา สุขสภา ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ข้าวซอยตัด “ปลาทอง” เล่าว่า ขนม “ข้าวซอยตัด” หรือภาษาจีนเรียกว่า “ซาฉี๋หม่า” ที่แปลว่า “ขนมแป้งทอด” เป็นขนมหวาน เดิมเป็นอาหารว่างของเผ่าแมนจู ข้าวซอยตัดทำจากเส้นหมี่ นำไปทอดจนสุก แล้วชุบด้วยน้ำตาล ซึ่งหลายคนคิดว่าขนมข้าวซอยตัดเป็นขนมประจำท้องถิ่นอยู่ในภาคเหนือของประเทศ แต่ที่จริงแล้วขนมชนิดนี้มีวางจำหน่ายหลายประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม รสชาติก็แตกต่างกันไป

ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ข้าวซอยตัดรายนี้เล่าต่อไปว่า เดิมนั้นเริ่มจากการทำข้าวซอยตัดขายเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ในครัวเรือน ทำขายกับภรรยา 2 คน ตอนนั้นเห็นว่าข้าวซอยตัดยังไม่ค่อยมีขายในบ้านเรา ก็เลยอยากจะลองทำขาย ภรรยาก็ไปเรียนรู้วิธีการทำ จากนั้นก็มาเริ่มหัดทำ ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 ปี กว่าที่จะได้สูตรและวัตถุดิบที่ลงตัวในการทำ ข้าวซอยตัดที่ไม่อมน้ำมัน แล้วก็เริ่มทำขาย ตอนนั้นก็ทำใส่ถาดขนมแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ขายชิ้นละ 1 บาท ยังไม่มีแบรนด์ เริ่มจากการทำแจกตามโรงเรียนให้นักเรียนชิม เพื่อให้เป็นที่รู้จักก่อน แล้วก็ทำขายมาเรื่อยจนเป็นที่รู้จักและคนเริ่มนิยมกันมาก

จากนั้นก็พัฒนาตัวสินค้ามาเรื่อย ๆ จนขยายทำเป็นโรงงาน ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาช่วยในการผลิต แต่ยังคงรสชาติเดิม และใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ โรงงานได้รับใบอนุญาตผลิตอาหาร หนังสือรับรองฮาลาล และ GMP

ปัญญาบอกว่า ปัจจุบันข้าวซอยตัดที่ทำอยู่นั้นมีอยู่ 2 แบรนด์ คือตรา “ปลาทอง” และตรา “กิตติตะวัน” ซึ่งส่งขายตามร้านขายของฝาก และล่าสุดได้เข้าไปวางขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ด้วย

“ข้าวซอยตัดที่ดีจะต้องมีน้ำหนักเบา เพราะถ้าหนักก็แสดงว่าข้าวซอยตัดนั้นอมน้ำมัน และที่สำคัญขนมจะต้องไม่ติดฟัน หากกินแล้วติดฟัน แสดงว่าใช้วัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพมาทำ” ปัญญากล่าว

ขนมข้าวซอยตัดนั้น ดูวิธีการทำแล้วเหมือนไม่ยาก แต่ถ้าลองทำแล้วก็จะรู้ว่าไม่ง่ายนัก ต้องใช้ความอดทด ความชำนาญ ประสบการณ์ในการทำ อย่างไรก็ดี สำหรับขนมข้าวซอยตัดนี้ ถ้าทำเป็น ทำได้ ก็สามารถขายได้แน่

และต่อไปนี้เป็นสูตรการทำขนมข้าวซอยตัดขายเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ตามตลาดนัดหรือแหล่งท่องเที่ยว

อุปกรณ์ในการทำที่สำคัญ ๆ ก็จะเป็นพวกอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน อย่างหม้อ, กะละมัง, ถาดใส่ขนม, เตาแก๊ส, ไม้รีดแป้ง เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำ ตามสูตรมีดังนี้คือ... แป้งสาลี 2 กิโลกรัม, ไข่ไก่ 30 ฟอง, น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม, น้ำสะอาด 1.5 ลิตร

วิธีทำ...เริ่มจากเตรียมแป้งทำเส้นข้าวซอยก่อน โดยนำแป้งสาลี 2 กิโลกรัม ใส่ในกะละมัง ตอกไข่ไก่ผสมลงไปในแป้ง นวดผสมให้แป้งเข้ากับไข่ไก่เป็นเนื้อเดียวกัน จนแป้งเหลืองและมีความเหนียวนุ่ม แล้วก็นำแป้งที่นวดใส่ถุงพลาสติก นำไปเก็บไว้ในตู้เย็นเป็นการหมักแป้งประมาณ  3 ชั่วโมง แป้งที่หมักไว้นี้ ถ้าใช้ได้แล้วแป้งจะมีลักษณะนิ่ม เนื้อแป้งจะหนืด ๆ ให้ทดลองตัดแป้งมาลองทอดในน้ำมันดูก่อนเล็กน้อย ถ้าแป้งลงไปในน้ำมันที่ร้อนแล้วฟูขึ้นมา แสดงว่าแป้งนั้นใช้ได้แล้ว

เมื่อแป้งที่หมักไว้ได้ที่ ก็นำออกมาจากตู้เย็น ตัดแป้งเป็นก้อนพอดี ๆ ใช้ไม้นวดแป้งกลิ้งนวดแป้งให้เป็นแผ่นให้ได้ความหนาประมาณเส้นก๋วยเตี๋ยว จากนั้นก็ตัดให้เป็นเส้น ๆ พอประมาณ นำแป้งที่ตัดเป็นเส้นข้าวซอยลงทอดในน้ำมัน โดยใช้ไฟแรงในการทอด นำเส้นลงทอดไม่นานก็ตักขึ้น เพื่อไม่ให้เส้นอมน้ำมันมาก นำขึ้นพักไว้ให้เส้นสะเด็ดน้ำมัน

ต่อไปเตรียมน้ำเชื่อม โดยนำน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ใส่ในน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ตั้งเคี่ยวบนเตาไฟจนน้ำตาลละลายก็จะได้น้ำเชื่อม จากนั้นก็นำเส้นข้าวซอยที่ทอดเตรียมไว้ใส่ลงในน้ำเชื่อม ทำการคลุกให้น้ำเชื่อมซึมเข้าเส้นข้าวซอยจนทั่ว แล้วก็ตักใส่ถาดกดอัดให้แน่น นำเข้าแช่ในตู้เย็นให้ขนมแข็งตัว แล้วก็นำออกมาตัดเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการการทำขนม “ข้าวซอยตัด” ขายเป็น “ช่องทางทำกิน” โดยทำแบบเล็ก ๆ อาจจะขายราคาชิ้นละ 5-10 บาท แล้วแต่ต้นทุนต่าง ๆ ซึ่งการลงทุนในส่วนของการซื้ออุปกรณ์ในการทำขนมข้าวซอยตัดขายนั้น อยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท

ทั้งนี้ สำหรับขนมข้าวซอยตัดของ หจก.ชัยสิทธิ์ ฤทธา ตรา “ปลาทอง” จะมีรสดั้งเดิม รสน้ำอ้อย วางขายใน เซเว่น อีเลฟเว่น ส่วนตรา “กิตติตะวัน” ที่วางขายทั่วไปจะมีรสดั้งเดิม, รสสตรอเบอรี่, รสน้ำอ้อย, รสอัลมอนด์
   
สำหรับผู้ที่สนใจ ’ข้าวซอยตัด“ ของ หจก.ชัยสิทธิ์ ฤทธา ผู้ประกอบการรายนี้ มีที่ตั้งอยู่ที่ 1/3 หมู่ 7 ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ต้องการสั่งออร์เดอร์ไปจำหน่ายต่อ ติดต่อได้ที่ โทร. 08-3209-1448, 0-5344-6939.

http://www.dailynews.co.th/article/384/206700

Saturday, May 18, 2013

แนะนำอาชีพ ‘พิซซ่าอบสด’

“พิซซ่า” อาหารอิตาเลียน เป็นอีกหนึ่งอาหารต่างชาติที่เป็นที่นิยมชมชอบของคนไทย ปัจจุบันมีการดัดแปลงทั้งการทำและหน้าตา ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้ถูกปากคนไทย และ “พิซซ่าอบสด” ก็เป็นอีกหนึ่งในรูปแบบ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...
  
ปิยะวรรณ จิตตาปัญญานุกูล หรือ คุณอ้อ  เจ้าของร้านพิซซ่าอบสด  Pizza Pissie  ย่านถนนพระราม 4 และกำลังจะเปิดเพิ่มอีกสาขาที่ จ.ภูเก็ต เล่าว่า ทำงานในสายร้านอาหารมาตลอด เพราะเป็นกิจการของที่บ้าน และส่วนตัวเป็นคนชอบทานพิซซ่าแบบอบสดมาก อยากจะมีร้านพิซซ่าเป็นของตัวเอง  จึงได้มาเปิดร้านที่ย่านดังกล่าวได้ประมาณ 3 เดือน และกำลังจะขยายสาขาที่บ้านเกิดที่ จ.ภูเก็ต อีกด้วย ซึ่งสูตรการทำพิซซ่านั้นเรียนรู้ด้วยตนเอง และมีหลาย ๆ คนที่ช่วยแนะนำการทำให้ โดยเฉพาะเรื่องแป้งที่เป็นส่วนที่ทำยากที่สุด

“การทำอาหารทุกอย่างจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยาก เพียงขอให้เข้าใจในอาหารแต่ละชนิดว่ามีองค์ประกอบอย่างไร ถ้าทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างนี้ เท่านี้ก็พอแล้ว พิซซ่าก็เช่นกัน ซึ่งเคล็ดลับอยู่ตรงที่ปั้นแป้งอย่างไรให้กลม และอบพิซซ่าอย่างไรให้สุกพอดี เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว” ปิยะวรรณบอก

อุปกรณ์ในการทำพิซซ่าอบสด หลัก ๆ ก็มี เตาอบพิซซ่า เครื่องนวดแป้ง ตู้เย็น ไม้นวดแป้ง ไม้พายสำหรับใส่พิซซ่าเข้าเตาอบพิซซ่า ตะกร้อตีแป้ง และภาชนะเครื่องครัวเบ็ดเตล็ด

ส่วน แป้งพิซซ่า ถ้าใช้แป้งพิซซ่า 1 กก. ส่วนผสมอื่นหลัก ๆ ประกอบด้วย ยีสต์ 15 กรัม, น้ำตาลทราย 8 กรัม, เกลือ 8 กรัม, น้ำเปล่า 490 กรัม และน้ำมันพืช 10 กรัม

วิธีปั้นแป้ง นำส่วนผสมทั้งหมดมานวดให้เข้ากัน อาจจะนวดด้วยมือ หรือนวดด้วยเครื่องนวดแป้งก็ได้หากต้องนวดในปริมาณมากกว่านี้ นวดจนแป้งเข้ากันดี แล้วนำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมก้อนละ 80 กรัม จากนั้นพักไว้ไนตู้เย็น เมื่อจะใช้ก็ให้นำมานวดอีกครั้ง

สำหรับ ซอสทาหน้าพิซซ่า ประกอบด้วย มะเขือเทศสดประมาณ 70%, น้ำมันมะกอก 20% ส่วนที่เหลืออีก 10% นั้นเป็นส่วนของเกลือ น้ำตาลทราย พริกป่น และออริกาโน่ ซึ่งเป็นส่วนของการปรุงรส

วิธีทำซอส นำมะเขือเทศมาต้มให้สุก แล้วนำมะเขือเทศมายีให้เละด้วยตะกร้อตีแป้ง ใส่น้ำมันมะกอกลงไป และปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาลทราย พริกป่น และออริกาโน่ ชิมรสให้อร่อยกลมกล่อม มีทุกรสชาติ เท่านี้ก็ใช้ได้
ต่อด้วย เครื่องแต่งหน้าหน้าพิซซ่า ที่คุณอ้อใช้มี  14 อย่างคือ สับปะรด, พริกยักษ์, เห็ดโคนญี่ปุ่นต้ม, มะกอก, ผักโขม, หอมหัวใหญ่, แฮม, ไส้กรอก, เบคอน, ทูน่า, ปูอัด, กุ้งต้ม, มอสเซอ เรร่าชีส และออริกาโน่     
วิธีทำขาย เริ่มจากนำแป้งพิซซ่าที่ปั้นไว้ออกมา ทำการปั้นอีกรอบ ซึ่งเรียกขั้นตอนนี้ว่าการขึ้น “โด” จากนั้นนำแป้งไปรีดด้วยเรื่องรีดแป้งให้บางและกลม โดยจะต้องรีดแป้งให้กว้าง หรือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว จากนั้นตักซอสพิซซ่าใส่ลงไปในแป้งพอประมาณ ทาให้ทั่ว ๆ ไม่หนาและไม่บางเกินไป

ต่อไปก็โรยหน้าด้วยเครื่องแต่งหน้าหน้าพิซซ่า ซึ่งถ้าเป็นแบบดั้งเดิม หรือ มาร์เกริต้า (Margherita Pizza) จะสามารถใส่หน้าได้ 3 อย่าง หากจะเพิ่มก็สุดแท้แต่ ส่วนหน้ายอดนิยมที่คนสั่งบ่อยคือ ฮาวายเอี้ยน ซึ่งจะมีแฮมและสับปะรด และอีกหน้าคือ ผักโขมและเบคอน ซึ่งก่อนจะใส่หน้าลงไปนั้น จะต้องโรยด้วยมอสเซอเรร่าชีสพอประมาณเสียก่อน แล้วจึงค่อย ๆ แต่งหน้าพิซซ่าเครื่องดังที่กล่าวมา จากนั้นโรยด้วยออริกาโน่ปิดท้าย ก่อนที่จะนำเข้าเตาอบ

การอบของคุณอ้อเตาจะเป็นแบบที่ใช้ถ่าน และแก๊ส ใช้เวลาอบพิซซ่าประมาณ 5-10 นาที คอยดูว่าแป้งสุกดีก็ใช้ได้ นำออกมาตัดเป็นชิ้น ๆ ให้ได้ 8 ชิ้น เสิร์ฟพร้อมกับซอสมะเขือเทศ, พริกป่น, พริกไทย และออริกาโน่

ตามสูตรนี้จะขายในราคาชุดละหรือถาดละ 60 บาท ซึ่งพิซซ่าจะมีต้นทุนชุดละประมาณ 70%
  
สนใจ “พิซซ่าอบสด”  ของคุณอ้อ-ปิยะวรรณ ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-9470-3030 หรือทางอีเมล piyawan2554@hotmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ที่สามารถพัฒนาเป็นธุรกิจที่มีอนาคตได้.

http://www.dailynews.co.th/article/384/205425

Friday, May 17, 2013

แนะนำอาชีพ "เพาะลูกปลานิล"

“ปลานิล” เป็นอีกหนึ่งปลาเศรษฐกิจที่ทำเงินให้ผู้เพาะเลี้ยงได้อย่างดี ปลานิลเป็นปลาเลี้ยงง่าย มีรสดี ออกลูกดก เติบโตได้รวดเร็ว และกับอาชีพ ’เพาะลูกปลานิลขาย“ ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เกี่ยวกับปลานิล เป็นอีก ’ช่องทางทำกิน“ น่าสนใจอย่างรายของ “ชุมพล จั่นจำรัส” ที่เพาะลูกปลานิลขาย ก็สร้างรายได้ เพาะส่งขายแทบไม่ทันความต้องการ...
   
ชุมพล จั่นจำรัส ซึ่งมีประสบการณ์ในการเพาะลูกปลานิลขายมา 2 ปี เล่าว่า เคยเป็นเซลส์ขายไอศกรีมมาก่อน หลังจากที่แต่งงานมีครอบครัวก็ออกมาทำอาชีพค้าขายอยู่ประมาณ 2 ปี จนแยกทางกับภรรยา จึงเลิกค้าขายแล้วไปบวชอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ลาสิกขากลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่แปดริ้ว มานั่งคิดว่าจะทำอาชีพอะไรเลี้ยงตัวเองและแม่ แล้วก็เห็นว่าที่นี่มีคนเลี้ยงปลากันมากตัวเองก็ชอบทานปลา จึงคิดว่าน่าจะทำอะไรเกี่ยวกับปลา ประกอบกับพอจะมีความรู้เรื่องการแปรรูปถนอมอาหาร การทำกุนเชียงหมู จึงลองนำเนื้อปลามาดัดแปลงแปรรูปทำเป็นกุนเชียงปลา พยายามคิดพัฒนาสูตร ลองผิดลองถูกอยู่นาน หมดเงินเสียของไปไม่น้อย ตอนนั้นต้องกู้เงินเอามาทำด้วย แต่ด้วยกำลังใจจากแม่ก็ทำให้มีแรงสู้ต่อ จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ สามารถทำกุนเชียงปลาออกมาจำหน่ายได้ และก็เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี

แต่หลังจากที่ยึดอาชีพทำกุนเชียงปลาขายอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องยอมปิดกิจการ หยุดทำ เนื่องจากให้เครดิตกับลูกค้าเยอะเกินไป และไม่สามารถเก็บเงินได้ พอนานเข้าเงินทุนหมุนเวียนก็ไม่พอที่จะทำ จึงตัดสินใจหยุดกิจการ แล้วก็ไปอยู่ที่จังหวัดชัยนาทกับลูกพี่เก่าที่อยู่กรมประมง ซึ่งตอนนั้นก็เคว้ง ยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ จนได้เจอรุ่นพี่ที่ทำฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาจำหน่าย ซึ่งก็เห็นว่ารายได้ดีมาก และตนเองก็พอจะมีความรู้ด้านการเพาะพันธุ์ปลาอยู่บ้าง จึงตัดสินใจที่จะทำ

กลับมาบ้าน เริ่มทดลองเพาะเลี้ยงปลาดุก ทำการเพาะเลี้ยงอยู่ได้ 3 เดือนก็เลิกทำ เปลี่ยนเป็นเพาะเลี้ยง “ปลานิล” แทน เพราะปลานิลเป็นปลาที่ทน เลี้ยงง่าย และก็เพาะเลี้ยงมาเรื่อยจนทุกวันนี้ ซึ่งก็สามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี

การเพาะลูกปลานิลขายนั้น เริ่มจากซื้อพันธุ์ปลานิลมาเลี้ยงเพื่อหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่เหมาะสมก่อน ซึ่งช่วงนี้ลูกปลานิล 10,000 ตัว ราคา 2,500 บาท นำมาปล่อยลงบ่อดินสำหรับอนุบาลให้ปลานิลโต สำหรับบ่อดินที่ใช้อนุบาลควรเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ตั้งแต่ 50–1,600 ตารางเมตร สามารถเก็บกักน้ำได้สูงประมาณ 1 เมตร

ในการเพาะเลี้ยง การให้อาหารจะให้ในช่วงเช้า โดยการให้อาหารต้องให้ ณ จุดเดียวเป็นประจำ โดยนำอาหารใส่กระชังแล้วหย่อนลงบ่อตรงจุดที่จะให้อาหารปลา ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงปลานิลก็จะเป็นพวกอาหารเม็ด รำ ขี้ไก่ เป็นต้น

หลังจากที่เพาะเลี้ยงอนุบาลลูกปลานิลที่อยู่ในบ่อดินได้ประมาณ 5-6 เดือน ปลานิลจะโตขนาดประมาณ 3 นิ้วครึ่ง ก็ทำการจับเพื่อคัดแยกปลาเพศผู้และเพศเมีย เพื่อที่จะนำมาเลี้ยงต่อเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ โดยดูที่มีความแข็งแรง แยกออกมาเลี้ยงในบ่อปูน เพื่อที่จะให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ผสมพันธุ์วางไข่

แม่พันธุ์ปลานิล 1 ตัว สามารถเป็นแม่พันธุ์ให้ไข่ได้ประมาณ 1.6-2 ปี

บ่อปูนที่เตรียมไว้สำหรับลงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลานิล เป็นบ่อปูนขนาด 4x8 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร อัตราส่วนต่อบ่อในการลงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลานิลอยู่ที่ 3:1 คือพ่อพันธุ์ 30 ตัว ต่อแม่พันธุ์ 100 ตัว ต่อ 1 บ่อ เลี้ยงประมาณ 1 เดือนกว่า ๆ ก็จะเริ่มเก็บไข่ปลาได้แล้ว โดยจะได้ไข่ปลาอยู่ที่ประมาณ 10,000-30,000 ฟองต่อบ่อ ซึ่งจำนวนของไข่ต่อบ่อนั้นก็จะขึ้นอยู่กับน้ำด้วย ถ้าน้ำร้อนปลานิลจะออกไข่น้อย ถ้าน้ำเย็นปลานิลก็จะออกไข่มากกว่า

ส่วนการให้อาหารก็จะให้วันเว้นวัน ซึ่งจะทำให้ปลานิลออกไข่ได้เยอะ

หลังจากปลานิลวางไข่ประมาณ 10 วัน ก็แยกเอาไข่ปลานิลออกจากบ่อ นำไปใส่ไว้ในโหลอนุบาล ซึ่งเป็นโหลที่มีระบบน้ำหมุนเวียนอยู่ในโหล เมื่อเอาไข่ปลานิลใส่โหลอนุบาลแล้วก็เปิดน้ำเพื่อให้ไข่ปลาได้เคลื่อนไหว ขยับตัวตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นไข่จะเน่า หลังจากอยู่ในโหลอนุบาล 8 วัน ลูกปลานิลก็จะเริ่มฟักเป็นตัว

มาถึงขั้นตอนนี้ ก็จับลูกปลาใส่ลงบ่อดินเป็นการอนุบาล เลี้ยงให้ปลาเจริญเติบโต ให้อาหารปกติ เสริมด้วยโฮโมนให้ลูกปลาโตเร็วขึ้น ลงบ่อดินเลี้ยงประมาณ 21 วัน ก็สามารถขายให้คนที่นำไปเลี้ยงต่อเป็นปลาตัวใหญ่ โดยขายได้ในราคาตัวละประมาณ 25 สตางค์ หรือลูกปลานิล 30,000 ตัว ช่วงนี้จะขายได้ประมาณ 7,500 บาท โดยติดต่อกับผู้รับซื้อซึ่งจะมาซื้อถึงบ่อเลี้ยงเลย
   
บ่อเพาะลูกปลานิลของชุมพล อยู่ที่ ต.หัวไทร อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ที่สนใจลูกปลานิลของบ่อนี้สามารถสอบถามได้ที่ โทร. 08-6121-9738 ซึ่งการ ’เพาะลูกปลานิลขาย“ นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ด้านเกษตรที่น่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/article/384/205063

Saturday, May 11, 2013

แนะนำอาชีพ ‘ถั่วแปบแป้งสด’

“แปบ” เป็นขนมพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักกันดี มีถั่วเขียวเป็นส่วนประกอบสำคัญซึ่งมีโปรตีนสูง และเป็นธัญพืชที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี นอกจากนี้ยังมีแป้ง งา มะพร้าว น้ำตาล ที่ให้พลังงาน ถั่วแปบจึงเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีประโยชน์ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดขายที่ดี และวันนี้ “ช่องทางทำกิน” ก็มีเรื่องราวของขนมพื้นบ้านโบราณชนิดนี้มานำเสนอ กับ “ถั่วแปบแป้งสด” ที่มีการประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย เกิดเป็นสูตรขนมไทยที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ... 
  
ลักษณ์นรี ไทยเจริญ หรือ เจ๊เพ็ญ เจ้าของร้าน “ขนมถั่วแปบแป้งสดคุณนิ” ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการเปิดร้านขายขนมดังกล่าวนี้ว่า ทำอาชีพนี้มาหลายปีแล้ว แต่เดิมครอบครัวมีธุรกิจส่วนตัวคือการทำนากุ้ง แต่ประสบปัญหาจนต้องเลิกไปโดยปริยาย แต่เธอก็ยังสวมหมวกเกษตรกรอย่างเต็มตัวอยู่ ทำสวนมะม่วงและสวนมะพร้าวเป็นอาชีพหลัก ซึ่งแม้งานสวนจะรัดตัว แต่ด้วยความชอบขนมและชอบค้าขาย ก็เจียดเวลาทำขนมถั่วแปบแป้งสดขายที่ตลาดน้ำบางคล้า ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

“ขนมถั่วแปบแป้งสดก็เป็นขนมขึ้นชื่ออีกอย่างของชาวบางคล้านะ เพียงแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคมากนักเมื่อ เทียบกับขนมเปี๊ยะหรือมะม่วง มะพร้าวน้ำหอม ซึ่งเป็นของดีบางคล้าที่มีชื่อเสียงมานาน ขนมถั่วแปบแป้งสดที่ทำเป็นสูตรเฉพาะตัวที่นำสูตรดั้งเดิมของบางคล้า และสูตรโดยทั่วไปที่ลูกสาวได้มา นำมาประยุกต์เข้าด้วยกัน และเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาก็ทดลองเปิดร้านขายที่ตลาดน้ำบางคล้า ปรากฏว่าขายดี ได้ความสนใจจากนักท่องเที่ยวมาก”

เจ๊เพ็ญบอกอีกว่า ชื่อ “คุณนิ” เป็นชื่อลูกสาว ซึ่งเดิมขนมถั่วแปบแป้งสดของที่ร้านจะมี 6 สี ทุกสีมาจากสีธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีสีสังเคราะห์แต่อย่างใด สีชมพูมาจากบีทรูท สีม่วงจากดอกอัญชัน สีเขียวจากใบเตย สีเหลืองจากฟักทอง สีส้มจากแครอท และสีดำมาจากถั่วดำ แต่ปัจจุบันจะทำขายเพียง 4 สี ยกเว้นสีส้มและสีดำ

วัสดุอุปกรณ์ในการทำอาชีพนี้ หลัก ๆ ก็มี...เตาแก๊ส, หม้อสเตนเลสสำหรับทำขนมปากหม้อ, ผ้าขาวบางหรือผ้าเทโร, เชือก, กระชอน, ทัพพีกลม, กะละมังสเตนเลส, ถาดสเตนเลส, ไม้พาย, เล็บแมวขูดมะพร้าว และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่สามารถหยิบฉวยเอาจากในครัวได้

ส่วนผสม-วัตถุดิบที่ใช้ ก็มี...แป้งข้าวเหนียว, ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก, มะพร้าวทึนทึกขูดและนึ่ง, งาขาว-งาดำคั่ว, น้ำตาลทราย, เกลือ และสีจากพืชธรรมชาติที่มีประโยชน์กับร่างกาย

ขั้นตอนการทำขนม “ถั่วแปบแป้งสด”เริ่มจากการทำในส่วนของ ไส้ขนม ก่อน โดยเอาถั่วเขียวเลาะเปลือกมาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นก็นำไปนึ่งอบด้วยใบเตยประมาณ 1 ชั่วโมง (เพื่อขจัดกลิ่นเหม็นเขียว) เสร็จแล้วยกลงจากเตามาตั้งพักไว้ให้เย็น

มะพร้าวทึนทึกนำมาขูด แล้วนำไปนึ่งประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วนำมะพร้าวที่นึ่งแล้วมาเหยาะเกลือป่นลงไปนิดหน่อย คลุกเคล้าเข้ากันให้ทั่วใส่ภาชนะเตรียมไว้

ส่วนผสมของน้ำตาล นำงาขาว-งาดำไปคั่วด้วยไฟอ่อน ๆ พอมีสีเหลืองและกลิ่นหอมก็ยกลงมาคลุกผสมกับน้ำตาลทรายที่เตรียมไว้

ต่อไปเป็นการทำ ตัวแป้ง ต้องทำน้ำผสมสีธรรมชาติที่คั้นจากพืชผักเตรียมเอาไว้ก่อน จะทำสีชมพู สีเขียว สีม่วง สีเหลือง ก็ทำน้ำบีทรูท น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำฟักทอง จากนั้นจึงนำแป้งข้าวเหนียวในปริมาณพอเหมาะเทใส่ภาชนะผสมกับน้ำสะอาดครึ่ง หนึ่ง แล้วนวดให้เข้ากันประมาณ 2-3 นาที จนแป้งเนียนนุ่ม ค่อย ๆ ใส่น้ำที่เหลือ คนจนแป้งละลายเข้ากันดี จึงใส่น้ำสีธรรมชาติสีที่ต้องการลงไปพอสมควร

ขั้นต่อไปเตรียมหม้อนึ่ง โดยใช้ผ้าโทเรหรือผ้าขาวบางผูกปากหม้อตรึงให้แน่น เจาะรูเล็กน้อยให้ไอน้ำออก ใส่น้ำ 3/4 ส่วนของหม้อ นำขึ้นตั้งไฟให้เดือดจัด เอาน้ำร้อนมาทาให้ทั่วผ้า คนแป้งให้ทั่วแล้วตักละเลงลงบนผ้าให้เป็นแผ่นกลม ปิดฝารอให้แป้งสุก (สังเกตเมื่อแป้งสุกแป้งจะพองขึ้น) ตักไส้ถั่วใส่ตรงกลางประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้พายแซะแป้งแล้วพับครึ่งหรือจะพับทั้งสองข้างมาปิดถั่วให้มิดก็ได้ตามถนัด แล้วใช้พายแซะขนมทั้งชิ้นขึ้นคลุกกับมะพร้าวที่เตรียมไว้ วางเรียงใส่ภาชนะ เตรียมขายคู่กับน้ำตาลผสมงาที่เตรียมไว้

เทคนิคการทำขนมถั่วแปบให้ง่ายและอร่อยนั้น เจ๊เพ็ญบอกว่า อยู่ที่การนวดแป้งด้วยน้ำอุ่น จะช่วยให้แป้งเหนียวนุ่มมากขึ้น และพายสำหรับปาดนั้นจะต้องแช่ในน้ำเสมอ เพราะถ้าใช้พายแห้ง เมื่อแซะแป้งอาจจะทำให้ขาดได้

ราคาถั่วแปบแป้งสดคุณนิ ขายกล่องละ 20 บาท มี 7 ตัว ต้นทุนประมาณ 60% ของราคา
  
“ถั่วแปบแป้งสด” เจ้านี้ขายทุกเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และยังรับออกบูธออกร้านตามงานต่าง ๆ โดยติดต่อเจ๊เพ็ญได้ที่ โทร. 08-1913-8987 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขนมพื้นบ้านที่สร้าง “ช่องทางทำกิน” ได้อย่างน่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/article/384/203763

แนะนำอาชีพ ‘ต้นไม้ให้เช่า’

อาชีพงานประดิษฐ์ และงานบริการ สามารถรวมเป็นธุรกิจหนึ่งเดียวได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยกระตุ้นหรือเพิ่มความน่าสนใจได้แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นการต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างดี อย่างเช่นธุรกิจ ’ต้นไม้เช่า“ ของ “เสาวลักษณ์ สุขโต” ที่เริ่มต้นจากการผลิตต้นไม้-ดอกไม้ประดิษฐ์ ก่อนจะแตกยอด ’ช่องทางทำกิน“ ขยายเป็นธุรกิจบริการให้เช่าได้อย่างน่าสนใจ...
   
เสาวลักษณ์ เจ้าของร้าน “ลูกปลา ต้นไม้ประดิษฐ์เช่า” เล่าให้ฟังว่า ได้แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจตรงนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ โดยมีโอกาสได้ทำงานนอกเวลาตามโรงแรมต่าง ๆ เกี่ยวกับงานจัดเลี้ยงอยู่เป็นประจำ จึงมองเห็นว่างานจัดเลี้ยงมักจะต้องใช้ต้นไม้และดอกไม้เพื่อประดับประดางาน ให้สวยงาม แต่บางครั้งลูกค้าที่มีงบประมาณจำกัดอาจจะมีเงินทุนไม่มากพอที่จะซื้อต้นไม้ และดอกไม้ประดับเหล่านี้ จึงมองว่าหากเปิดเป็นธุรกิจให้เช่าต้นไม้หรือดอกไม้ประดิษฐ์สำหรับใช้จัด ตกแต่งก็น่าจะยึดทำเป็นอาชีพได้ จึงเปิดร้านและรับงานเรื่อยมา โดยลูกค้าส่วนใหญ่มีตั้งแต่ลูกค้างานแต่งงาน งานจัดเลี้ยงทั่วไป รวมไปถึงงานตกแต่งสถานที่ให้กับบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ซึ่งรับงานได้ตลอดทั้งปี...

“จุดเด่นของร้านเรา อยู่ที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรต้นไม้หรือดอกไม้ประดิษฐ์ที่จะใช้ได้หลาก หลายกว่าการต้องซื้อสินค้าแบบขายขาด อีกทั้งต้นไม้และดอกไม้ประดิษฐ์ของที่ร้านก็สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบและขนาด ได้ตลอดเวลา เพราะเป็นสินค้าที่ทางร้านได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ปัจจุบันมีหน้าร้านอยู่ที่ตลาดขายส่งต้นไม้ ใกล้กับตลาด อ.ต.ก. ถนนกำแพงเพชร จตุจักร” เสาวลักษณ์เจ้าของธุรกิจต้นไม้เช่ากล่าว

นอกจากที่ระบุมา เธอยังใช้ช่องทางการติดต่อผ่านเฟซบุ๊ก เป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับให้ลูกค้าติดต่อสอบถามสินค้าและการบริการ ในชื่อ www.facebook.com/lookpla.artificial.tree โดยมีทั้งลูกค้าในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

เสาวลักษณ์แนะนำว่า คนที่คิดจะทำธุรกิจนี้ สิ่งที่ควรมีคือความรู้เรื่องต้นไม้ดอกไม้ เพราะแม้จะเป็นของประดิษฐ์ ของปลอม ทำเลียนแบบ แต่ก็ควรที่จะสามารถให้คำแนะนำเรื่องชนิด สี และรูปแบบของต้นไม้ ให้ลูกค้าได้ด้วย ต่อมาก็คงเป็นเรื่องใจรักการบริการ เพราะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความอดทน ซึ่งหากไม่มีใจรักชอบที่จะทำงานด้านนี้ ก็คงจะลำบาก
ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ธุรกิจนี้ เงินลงทุนหากไม่รวมค่าสถานที่หรือค่าเช่าร้าน ส่วนใหญ่จะเป็นค่าผลิตสินค้า คือการทำต้นไม้และดอกไม้ประดิษฐ์เพื่อเก็บสต๊อกไว้สำหรับให้ลูกค้าเลือก ก็อยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท ส่วนทุนหมุนเวียน สำหรับร้านของเสาวลักษณ์ จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน เป็นค่าซ่อมแซม ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าจ้างแรงงาน ค่าวัสดุตกแต่ง ขณะที่รายได้นั้น คิดค่าบริการที่ 40% จากราคาขายเต็มของสินค้า โดยเริ่มต้นที่ 1,500 บาทขึ้นไป
ขั้นตอนบริการ เริ่มจากรับทราบความต้องการของลูกค้า ว่าต้องการใช้ต้นไม้หรือดอกไม้ชนิดใด สรุปในเรื่องของสถานที่หรือพื้นที่การจัดตกแต่ง จากนั้นกลับมาเลือกต้นไม้และดอกไม้ประดิษฐ์ที่จะใช้ว่ามีจำนวนเท่าใด ทำการวาดภาพร่างแบบการจัดตกแต่งเพื่อส่งให้ลูกค้าตัดสินใจ เมื่อตกลงหรือได้ข้อสรุปแล้ว ก็นำแบบมาแก้ไขปรับปรุงให้ลงตัวอีกครั้ง

จากนั้นทำการส่งแบบอีกครั้งเพื่อสรุปข้อมูลครั้งสุดท้าย แล้วจึงนำต้นไม้หรือดอกไม้ประดิษฐ์ไปตกแต่งยังสถานที่ที่ลูกค้าต้องการ ตรวจสอบความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย ส่งมอบงาน เมื่อเสร็จงานแล้วก็ทำการถอดและย้ายสินค้ากลับ

“รายละเอียดของงานจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของลูกค้า โดยส่วนใหญ่เราจะเผื่อเวลาให้ลูกค้าไว้พอสมควร ทั้งก่อนติดตั้ง และตอนย้ายสินค้ากลับ จุดสำคัญของธุรกิจนี้คือการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความประทับใจให้ลูกค้า ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก หรือแนะนำร้านให้กับลูกค้าคนอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งเราก็ได้ลูกค้าจากการบอกปากต่อปากค่อนข้างมาก” เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจในอาชีพนี้...
   
ใครสนใจต้นไม้เช่า ต้องการติดต่อเสาวลักษณ์ ก็ติดต่อไปได้ที่ โทร.08-9811-6604, 08-5324-1415 หรือติดต่อทางอีเมล sukto5212@gmail.com ซึ่ง ’ต้นไม้เช่า“ นี่ก็เป็นอีก ’ช่องทางทำกิน“ อีกธุรกิจ ที่ปรับตัวเข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ได้อย่างน่าสนใจ.
.......................................................
คู่มือลงทุน...ต้นไม้ให้เช่า
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 500,000 บาท
ทุนหมุนเวียน ประมาณ 50,000 บาท/เดือน
รายได้ ค่าเช่า 40% จากราคาขาย
แรงงาน 2 คนขึ้นไป
ตลาด งานจัดเลี้ยง, งานอีเวนต์ต่าง ๆ
จุดน่าสนใจ ทำเงินต่อยอดจากต้นไม้ประดิษฐ์

http://www.dailynews.co.th/article/384/203495

Saturday, May 4, 2013

แนะนำอาชีพ ‘เปิดร้านกาแฟแบบยั่งยืน

“ช่องทางทำกิน” วันนี้ยังคงเก็บตกกิจกรรมครั้งที่ 6 ตามโครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ฟรี!! ซึ่งคณะผู้บริหารเดลินิวส์จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนทางด้านอาชีพ โดยกิจกรรมครั้งที่ 6 นี้ทางเดลินิวส์จัดฝึกอบรมการทำ “ธุรกิจร้านกาแฟ” โดยร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด อีกครั้ง...
                              
การฝึกอบรมครั้งนี้ ดร.พิสิฐ เหตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและจัดจำหน่ายหนังสือพิมพ์เดลินิวส์, คุณนนท์ รุจิรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดหนังสือพิมพ์เดลินิวส์, คุณบัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์, คุณนริศ ธรรมเกื้อกูล รองกรรมการผู้จัดการ ซีพี รีเทลลิงค์ และทีมงานของทุกฝ่าย คอยให้การต้อนรับดูแลผู้เข้าอบรม 50 คนอย่างใกล้ชิด โดยคุณนริศซึ่งสันทัดกรณีธุรกิจกาแฟให้เกียรติเป็นวิทยากรให้ความรู้ผู้เข้า อบรมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

“ทำร้านกาแฟอย่างไรให้ยั่งยืน?” นี่เป็นประเด็นสำคัญ โดยคุณนริศระบุว่า ธุรกิจกาแฟขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยตลาดที่ใหญ่ก็ทำให้คนหันมาสนใจธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยากเปิดร้านกาแฟเพราะมองว่ากำไรดี, คิดว่ามีอิสระ เปิด-ปิดเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจ, อยากเป็นเจ้าของกิจการ, มีสถานที่อยู่แล้ว หรือเปิดเพราะอยากมีที่รับรองเพื่อนก็ยังมี

“อยากให้ข้อมูลว่าจากการสำรวจพบว่าร้านกาแฟท้องถิ่นมีอัตรารอด 20% มักพบปัญหาการลาออกบ่อยของพนักงาน หลายคนเริ่มต้นโดยขาดความรู้ ไม่มีระบบ ทำให้ตกอยู่ในสภาพรอดก็ไม่ได้-ตายก็ลำบาก” นี่เป็นคำเตือนจากกูรูผู้เชี่ยวชาญธุรกิจร้านกาแฟ ทว่า...การจะสร้างตัวจากธุรกิจร้านกาแฟนั้นก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

การทำธุรกิจร้านกาแฟสดนั้น หลัก ๆ ที่จะต้องคำนึงถึง ประกอบด้วย... การตลาด ผู้เปิดร้านกาแฟต้องวิเคราะห์ว่า ตลาดอยู่ไหน ใครคือลูกค้า มีขนาดเท่าไร นอกจากนี้ต้องทราบ พฤติกรรมลูกค้า อุปนิสัย ความชื่นชอบ วิถีชีวิต เพื่อจะทราบว่าสินค้าและบริการแบบใดตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย และต้องพิจารณา ราคาที่คุ้มค่าและความเหมาะสม ด้วยว่าสำหรับลูกค้าแล้ว ควรอยู่ที่อัตราเท่าไร และรู้ว่า ทำอย่างไรลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำ ขณะที่ ช่องทางที่สะดวกในการเข้าถึงสินค้าและบริการ ก็ต้องคิดว่าจะเป็นอย่างไร จะต้องใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีอะไรบ้าง??

“การเลือกทำเลก็สำคัญมาก ขณะที่กลยุทธ์เรื่องการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ก็ควรใช้ให้พอดี เหมาะสม ไม่พร่ำเพรื่อ ทำเท่าที่จำเป็น และต้องมีเหตุผลสนับสนุนทุกครั้งที่จะทำ” เป็นสิ่งที่วิทยากรเน้นย้ำ

สำหรับเกณฑ์การพิจารณาเลือกทำเล มีดังนี้... ทำเลที่เลือกต้องสอดคล้องกับแนวคิดธุรกิจ, เลือกพื้นที่ค้าขายดี, เลือกจุดที่ต้องการ, รวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และตัดสินใจเลือกทำเลร้านให้เหมาะกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน

อาจฟังดูยาก แต่ย่อยให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ... ต้องเป็นทำเลที่คนเห็นร้านได้ง่าย, ภาพลักษณ์ร้านดึงดูดน่าสนใจ, เป็นย่านที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหนาแน่นเพียงพอ, ที่ตั้งร้านอยู่ในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ, ลักษณะกายภาพร้านและทำเลต้องส่งเสริมกันทางบวก เช่น มีที่จอดรถ สะดวกในการเข้าร้าน เป็นต้น

ในส่วนของตัวสินค้า คือ “กาแฟ” การสร้างสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย มีข้อพิจารณาคือ... รสชาติและความสม่ำเสมอของรสชาติ มีการรับประกันคุณภาพ เช่น ความสดของเมล็ดกาแฟและวัตถุดิบอื่น ๆ โดยร้านที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีสินค้าขายดี และรวมถึงมีความหลากหลายด้วย
เรื่อง การบริการ ที่ก็สำคัญ มีข้อพิจารณาคือ... บริการที่ลูกค้าคาดหวัง เช่น วิธีรับออร์เดอร์, เวลาในการเตรียมสินค้า, เวลารอคอยสินค้า, ลักษณะการเสิร์ฟ, น้ำดื่มและน้ำแข็งสะอาด ตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น เวลาทำการ, เมนูแนะนำ, ป้ายแสดงราคา, ห้องน้ำ, บริการเสริมต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ไวไฟอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ขณะที่ การจัดร้าน บรรยากาศภายในและภายนอกร้าน ก็เป็นสิ่งที่ผู้ทำธุรกิจร้านกาแฟจะต้องให้ความสำคัญเช่นกัน
วัสดุอุปกรณ์ ประกอบการขายสำหรับร้านกาแฟ โดยทั่วไปก็จะประกอบด้วย เครื่องชงกาแฟ, เครื่องบด, อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ, ตู้แช่, เมล็ดกาแฟ, แก้ว, ช้อน, ถุง, น้ำตาล, ไซรัป, ผงช็อกโกแลต, นม, หัวเชื้อ ฯลฯ และลงลึกอีกนิดกับอุปกรณ์ร้านกาแฟ ที่จำเป็นก็เช่น แก้วชอท, แก้วตวง 8 ออนซ์, ช้อนตักฟองนม, ช้อนคนส่วนผสม, เทอร์โมมิเตอร์, นาฬิกาจับเวลา, แก้ว 16 ออนซ์, แก้วร้อนคาปูชิโน, กระบะเคาะกาก, เหยือกตีฟองนม, แปรงปัดผงกาแฟขนาดเล็กและขนาดใหญ่, ขวดโรยผงโกโก้, แทมเปอร์ส, ขวดบีบซอส, หลอดกาแฟ
ผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจกาแฟใหม่ ๆ หากเป็นร้านขนาดที่คาดว่าจะมีอัตราการชงกาแฟต่อวัน 50-150 แก้ว อาจใช้เครื่องชงกาแฟพร้อมเครื่องบดขนาด 1 หัวชงก็ได้ แต่ถ้าหากเป็นร้านขนาดใหญ่ที่มีอัตราการชงกาแฟต่อวันประมาณ 250-500 แก้ว ควรจะเลือกใช้เครื่องชงกาแฟพร้อมเครื่องบดขนาด 2 หัวชง จึงจะมีความเหมาะสม ขณะที่ในส่วนของสูตรกาแฟ ณ ที่นี้ก็มีมาบอกกันบางส่วน แต่กับสูตรกาแฟ-การชงกาแฟนั้น ควรต้องหาแหล่งเรียนรู้ ต้องฝึกฝน จึงจะชงกาแฟได้รสชาติดี

อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจร้านกาแฟนั้น ยังสามารถสร้างรายได้จากสินค้าเสริมต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น ชา นม น้ำผลไม้ เบเกอรี่ สแนค ของหวาน บัตรเติมเงินมือถือ ฯลฯ แต่ทั้งนี้ที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาดในการเปิดร้านคือ ใบอนุญาต ข้อกำหนดข้อปฏิบัติของภาครัฐและชุมชนที่ตั้งร้าน เช่น การกำจัดขยะ และของเสียต่าง ๆ เป็นต้น
 
…ก็เป็นโดยสรุป โดยสังเขป เกี่ยวกับการทำ “ธุรกิจร้านกาแฟ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” เก็บตกจากกิจกรรม “Coffee Rich รวยรินกลิ่นกาแฟ รับทรัพย์แน่ แค่อบรม” กิจกรรมครั้งที่ 6 ของโครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” มานำเสนอ

ผู้ที่สนใจธุรกิจนี้ก็ลองพิจารณากันดู.
ทีมช่องทางทำกิน : รายงาน
สันติ มฤธนนท์-ภานุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

...........................................................................................
ส่วนผสมกาแฟ "6 สูตร"
กาแฟ “แมคเคียโต้เย็น” มีส่วนผสมคือ... เอสเปรสโซ่ชอท 2 ออนซ์, นมสดเย็น 1 ออนซ์, ซอสกาแฟ 2 ออนซ์

กาแฟ “ลาเต้เย็น” มีส่วนผสมคือ... เอสเปรสโซ่ชอท 2 ออนซ์, นมสดเย็น 1 ออนซ์, ซอสกาแฟ 2 ออนซ์, นมสดเย็นสำหรับราด 1 ออนซ์
กาแฟ “ลาเต้ร้อน” มีส่วนผสมคือ... เอสเปรสโซ่ชอท 1 ออนซ์, นมสดร้อน 4 ออนซ์ และฟองนมสด
กาแฟ “คาปูชิโน่เย็น” มีส่วนผสมคือ... เอสเปรสโซ่ชอท 2 ออนซ์, นมสดเย็น 1 ออนซ์, ซอสกาแฟ 2 ออนซ์ และฟองนม กับผงโกโก้
กาแฟ “คาปูชิโน่ร้อน” มีส่วนผสมคือ... เอสเปรสโซ่ชอท 1 ออนซ์, นมสดร้อน 2 ออนซ์, ฟองนมสดร้อน 2 ออนซ์
กาแฟ “เอสเปรสโซ่ร้อน” มีส่วนผสมคือ... เอสเปรสโซ่ชอท 1 ออนซ์.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/384/202089